Thursday 9 June 2016

นิทานกรรม : สิบชั่วโคตร


สมัยราชวงศ์หมิง มีมหาบัณฑิตท่านหนึ่งชื่อ ฟังเสี่ยวหู ใครๆก็รู้ว่าฟังเสี่ยวหู นี้เป็นคนดี น่าจะได้รับผลดีตอบสนองในชีวิต แต่ว่ารางวัลที่ฟังเสี่ยวหูได้รับคือ การถูกสั่งประหารชีวิต และเป็นการประหารที่ไม่ธรรมดา แต่เป็นการประหารชีวิตถึง 10 ชั่วโคตร พาลูกเล็กเด็กแดง จนถึงปูย่าตายาย หัวหงอกหัวดำตายจนหมดโคตร

พูดถึงการฆ่าเจ็ดชั่วโคจตรที่เราเคยได้ยินนั้นคือการเอาตัวจำเลยเป็นหลัก แล้วนับไปข้างบน3 รุ่นไปรุ่นพ่อ รุ่นปู่ ปู่มีพี่น้องกี่คนฆ่าเรียบ และไปรุ่นทวดมีพี่น้องกี่คนฆ่าเรียบ จากนั้นนับไปรุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นเหลนมีกี่คนฆ่าเรียบ รวมทั้งตัวจำเลยรวมเป็น 7 ชั่วโคตร


แต่ฟังเสี่ยวหูโดนสั่งประหารถึง 10 ชั่วโคตร ยังไงกัน?


เรื่องมันเกิดเพราะว่าพ่อของ ฟังเสี่ยวหู แกได้สร้างกรรมมหันต์ไว้ตั้งแต่ฟังเสี่ยวหูยังไม่เกิด พ่อของฟังเสี่ยวหู เขาเป็นนักสร้างฮวงซุ้ยฝีมือเยี่ยมในสมัยนั้น มีชื่อเสียงมาก วันหนึ่งแกก็ไปกำหนดสร้างฮวงซุ้ยที่เชิงเขาที่สวยมาก และเป็นทำเลที่ดี พอตัดสินใจแล้วกำหนดวันเวลามงคลว่าพรุ่งนี้แหละจะทำการขุดดิน ในคืนนั้น พ่อของฟังเสี่ยวหูก็ฝันว่ามีชายชราใส่เสื้อคลุมสีแดง เดินตรงเข้ามาโค้งคาราวะให้อย่างนอบน้อม อย่างสวยงาม พร้อมทั้งกล่าวว่า ท่านผู้เจริญสถานที่ที่ท่านจะไปสร้างฮวงซุ้ยนั้น เราและลูกหลานอาศัยอยู่เป็นเวลานานมาแล้ว เราขอวิงวอนท่านให้เลื่อนการก่อสร้างออกไปสัก 3. วันเพื่อจะได้อพยพลูกหลานเราออกไปที่นั่นเสียก่อน เราจะไม่ลืมพระคุณเลย ชายชราคนนั้นวิงวอนแล้ววิงวอนเล่า กำชับแล้วกำชับอีก ว่าขอให้เลื่อน แล้วเขาก็ลาจากไปด้วยความนอบน้อม เช่นเดิม

พอพ่อฟังเสี่ยวหูตื่นขึ้นมาก็คิดว่าเป็นเพียงฝันอันเหลวไหล วันมงคลได้กำหนดขึ้นแล้ว จะเลืีอนไปไม่ได้เด็ดขาด พอรุ่งขึ้นวันกฤษ์ดีมาถึง คนงานก็ลงมือขุดเต็มที่ คนงานทำงานกันขะมักเขม้น สักพักก็มีคนงานร้องตพะโกนขึ้นมา พ่อของฟังเสี่ยวหูก็วิ่งไปดู พบว่าคนงานขุดพบเจอโพรงซึ่งเป็นรังของงู งูตัวสีแดงยั้วเยี้ยเต็มไปหมด สัก7-800 ตัว พ่อของฟังเสีายวหูจึงสั่งให้คนงานนั้นจุดไฟเผางูสีแดงนั้นทั้งหมด คืนนั้นพ่อของฟังเสี่ยวหูก็ใันเห็นชายชราเสื้อแดงคนนี้อีก แต่คราวนี้มาด้วยสีหน้าโกรธแค้น ปวดร้าวจนน้ำตานองหน้า กล่าวว่า เราอุตส่าห์มาขอร้องท่านให้เลื่อนการขุดดิน เพื่อที่เราจะได้ย้ายลูกหลานเราออกจาก พท. แต่ท่านกลับเผาลูกหลานของเราหมด 800 ชีวิต ในเมื่อเจ้าใจบาปหยาบช้า กล้าล้างโคจตรเราแบบนี้เราก็จะขอล้างโคตรเจ้าเช่นกัน พ่อของฟังเสี่ยวหูตกใจตื่น เหงื่อแตกซิกเลย แต่ยังไงผลกรรมนี้ก็ทำไปแล้ว ได้แต่รอรับผลกรรมเท่านั้นเอง

ต่อมาแกก็มีลูกชายคือ ฟังเสี่ยวหู คนนี้ ลูกของแกเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียนเก่ง นิสัยดี กตัญญูต่อพ่อแม่ดีนัก แต่ที่แปลกคือ เด็กคนนี้เกิดมามีลิ้นแหลมเหมือนงู เด็กคนนี้เก่ง ทำงานจนกระทั่งเติบโตเป็นมหาบัณฑิต วันหนึ่งพระเจ้าหมิงไท่จู สวรรคต หมิงอุ้ยตี้ น้องชายของหมิงไท่จูก็แสดงเจตจำนงค์ว่า อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน ว่าการแทนท่ามกลางความคลางแคลงใจของประชาชน หมิงอุ้ยตี้จึงให้ฟังเสี่ยวหูเขียนป้ายประกาศบอกชาวเมืองว่า หมิงอุ้ยตี้ จะขึ้นรักษาการณ์แทนฮ่องเต้ แต่ฟังเสี่ยวหู กลับประกาศความจริงว่า หมิงอุ้ยตี้ยึดอำนาจประกาศตัวเป็นฮ่องเต้ เท่านั้นแหละค่ะ เป็นเรืีอง ฟังเสี่ยวหูโดนจับ พอจับไปแล้วหมิงอุ้ยตี้ก็ถามว่านี่มึงไม่ได้มีความเกรงกลัวกูเลยเรอะ.. นี่มึงอยากโดนประหาร 9 ชั่วโคตรหรือกะไร ฟังเสี่ยวหูได้ยินก็ตอบว่า อย่าว่าแต่ 9 ชั่วโคตร กูต่อให้ 10 ชั่วโคตรกูก็ไม่กลัวมึง หมิงอุ้ยตี้เลยบอกว่า อ้าวถ้างั้นก็ให้มึงตาย 10 ชั่วโคตร อำมาตย์เลยเตือนว่า เค้ามีแค่ 9 ชั่วโคตรเองนะพระองค์ ฝั่งแม่ 4 โคตร ฝั่งฝ่ายพ่อ 4 โคตร และเจ้าตัวอีกฝ่าย ก็มีเหลือ แต่ 9. โคตรเท่านั้นแหละ

แต่หมิงอุ้ยตี้ เป็นคนฉลาด จึงบอกว่า ครูอาจารย์มันก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ เอาอาจารย์มันมาอีกเป็นโคตรที่ 10. รวมลูกเมียครูอาจารย์มันเอามาด้วยทั้งครอบครัว


อ้าว...พาอาจารย์ซวยไปด้วยเลย กรรมเริ่มทำงานแล้วค่ะ ทำไมฟังเสี่ยวหู คนเดียวจึงเกิดมาทำให้เกิดการประหัตประหารญาติโกโหติกากันขนาดนี้ นั่นเพราะว่า ฟังเสี่ยวหูถือกำเนิดมาจากดวงวิญญาณอันคุมแค้นของชายชราเสื้อแดงคนนั้น ซึ่งเป็นจ้าวตระกูลงู 800 ตัวในโพรงนั้น หนึ่งชีวิต ต่อหนึ่งชีวิต ไม่มีการลดหย่อน 9 ชั่วโคตรก็ยังไม่เท่าจำนวนงูที่ตาย ครอบครัวอาจารย์ที่ไม่รู้อโหน่อิเหน่ด้วย ก็ต้องพลอยมาตายกับบา่ปกรรมของ พ่อฟังเสี่ยวหู จนครบ 800 พอดิบพอดี จำนวนคนพอดีกับจำนวนชีวิตงูสีแดงเหล่านั้น เป๊ะ นั่นคือต้อง 10 ชั่วโคตรค่ะ

เรื่องเล่าบาปกรรมของคนจีนค่ะ !!!

ขอบคุณภาพจาก Google.com

Wednesday 8 June 2016

ความริษยา คือ การแสดงออกถึงความต่ำต้อยทางจิตวิญญาณของมนุษย์




มนุษย์ผู้มีจิตใจสูง เมื่อได้เห็นคนอื่นประสบความก้าวหน้า มีความสุขสวัสดีในชีวิต ย่อมพลอยอนุโมทนาสาธุการมีใจร่าเริงเบิกบานไปกับเขา หรือยามที่ตนเองประสบความสำเร็จ มีความสุข ความเจริญ ก็ไม่หวงแหนความสำเร็จ ไม่ตระหนี่ความสุข ไม่จำกัดความเจริญนั้นไว้สำหรับตนฝ่ายเดียว แต่ยินดีเสมอที่จะแบ่งปันความสำเร็จและความสุขความเจริญนั้นแก่คนอื่นต่อไปอย่างไร้พรมแดน

คนใจสูงนั้น ปราถนาแต่จะเห็นคนเก่งเพิ่มขึ้น เพราะเขาถือว่า เมื่อมี คนที่มีความสุขความเจริญมากมาย โลกก็จะกลายเป็นสรวงสวรรค์อันรื่นรมย์

ส่วนคนที่มีใจแคบ มีจิตวิญญาณต่ำต้อยนั้น ยามที่ตัวเองประสบความสำเร็จ มีความสุข ความเจริญ ก็คิดแต่จะหวงแหนสิ่งดีๆไว้เฉพาะตนคนเดียวเท่านั้น เห็นใครได้ดีมีสุขทัดเทียมตน หรือ เหนือกว่าตน ก็จะมีความทุกข์ขึ้นมาทันที

ความริษยายังคงมีอยู่ในบุคคลใด แสดงว่าจิตใจของบุคคลนั้น ยังด้อยพัฒนา ยังจะต้องศีกษากันต่อไป ต่อเมื่อยกใจพ้นริษยาได้เมื่อไร จึงจะได้ชื่อว่า

เป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงเมื่อนั้น

ที่มา : ว.วชิรเมธี & วิกรม กรมดิษฐ์ /หนังสือดีเพื่อคนไทย / 7-11

Saturday 4 June 2016

เทวดามีจริง!! ภาพถ่ายเทวดา ที่ยอดพระปรางค์

ดิฉันคุยเฟสทามกับน้องชาย คุยเรื่องในครอบครัวค่ะ เรามีกัน 2 พี่น้องเท่านั้น จึงคุยกันเป็นระยะห่างๆชิดๆ ตามอัตราความสุขและความทุกข์ในแต่ละวัน

ทุกวันนี้ต้องขอบคุณ line Program นะคะ เรามีกลุ่ม "ครอบครัว" ที่มีประโยชน์มาก เช่นตามหากัน ถามเรื่องต่างๆ ในครอบครัว ครั้งเดียว รู้ทั้งครอบครัว มันไกล้ชิดกันเสียจริงๆ และเด็กทุกวันนี้ก็อยู่ในสายตาทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่ตอนนี้ หลาน เหลน พี่ป้าน้าอา เอ่ยมาสักเรื่อง ร้องอ๋อ ทั้งโคตร ไม่ใช่ทั้งครอบครัว คือ รับรู้ได้เท่าๆ กันหมด ตย. เช่นหลานๆ ลูกๆ ทำเรื่องอะไรไม่เข้าหูเข้าตา ด่าไปหนึ่งคน ได้รู้ทั้งครอบครัว เพราะเรามีลูกหลานวัยรุ่น บางคนไปทำเรื่องน่าเกลียดไว้ตามเฟสบุ๊ค (Facebook) ก็มีพี่ป้าน้าอาไปอ่านเจอ ก็จะพากันติติง หลานสาวนี่เรียบร้อยมาก ไม่กล้าลงอะไรตามเฟสเลยค่ะ น่าจะสยองหลอนๆ พี่ป้าน้าอา ... จึงได้เห็นแค่ ไลน์ และไม่เคยโต้ตอบนอกจากบอกว่า อะไร ที่ไหน อย่างไร ...นอกนั้นเงียบ แต่อ่าน!! มีครอบครัวไหนเหมือนครอบครัวเรามั่งคะ ??
วันนี้คุยเรื่อยเปื่อยถึงความฝัน ... ว่าดิฉันฝันแปลก และดิฉันเห็นอะไรแปลกๆ น้องเลยสรุปว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง บางเรื่องอธิบายไม่ได้ก็มี พร้อมกับส่งรูปมาให้ดูรูปนึง บอกว่า ถ่ายไว้ได้ตอนปีใหม่ ตอนไปใหว้พระรอบๆ เมือง ... ได้ภาพมา กลัวคนหาว่าไปทำมาเอง และหลายคนอาจมองไม่เห็นเหมือนๆ กัน เพราะเคยให้เพื่อนดู บางคนบอกว่า เห็นแวบเดียวแล้วหายไป แต่ดิฉันเห็นค่ะ แต่ต้องไปเปิดดูกับ Tablet จึงเห็น ครั้งแรกก็ดูแล้วเฉยๆ เพราะมองไม่เห็น ...พอขยายดู ก็เห็น

คุณลองดูสิคะ ว่า เห็นอะไรมั้ย ???? 

เข้าใจว่าเป็น เงาเทวดาค่ะ ลองหาดู ถ้ายังไม่เห็น ตามภาพนี้เลยค่ะ
ภาพนี้ดิฉันวงกลมและเขียนเองค่ะ เอาไปแพร่ผ่าน FB ของตัวเอง แต่กะว่าจะเอาออกแล้วค่ะ เกรงจะโดนคอมเม้นท์ว่างมงาย แต่สำหรับดิฉันไม่งมงายหละค่ะ เป็นความเชื่อหนักๆ เลย
ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทวดาอีกนะคะ เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2559 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เพื่อนๆดิฉันได้ไปทอนพระที่วัดคงคาเลียบ จว. นครศรีฯ ดิฉันนั้นเห็นว่า วัดกำลังหาเงินสร้างโบถส์ แทนโบถส์เก่าที่เป็นไม้ ถูกรื้อออกไป ผุพังเก่ามาก ไม่สามารถใช้งานได้จริงๆ อุโบสกใหม่นั้นได้ขึ้นฐานรากไว้แล้วนานมากจนไม้เลื้อยเกาะ แต่ก็ไม่เสร็จสักที หมดเงิน ทอดกฐิน หรือ ผ้าป่า ได้มาก็ไม่เยอะ เม็ดเงินไม่เคยถึงเรือนล้าน โบถส์ใหม่จึงต้องรอไปก่อน และด้วยความพยายามของท่านเจ้าอาวาส ท่านเล่าดิฉันว่าได้เชิญเทวดามาช่วยสร้าง เป็นบุญ ลำพังท่านนั้นป่วยบ่อย คนเดียวไม่ไหวหละโยม จึงมีญาติธรรมมาช่วยกันมากมาย ตามความศรัทธา เมื่อเพื่อนๆ มา ดิฉันก็บอกให้เพื่อนๆ ทอนวัตถุมงคลไป ไปกัน 5 คนที่ทอน 3 คน ดิฉันจึงกล่าวขออนุโมทนาบุญวิหารทานนี้ด้วย เลยกลาวอุทิศบุญของพวกเขาให้แก่เทวดาของพวกเขา และเทวดาทุกท่าน (พร้อมนึกในใจว่า ท่านรับแล้ว มาบอกด้วย นับในใจ 123) โดยกล่าวดังๆ ว่า เอ้าๆ ขอบคุณเพื่อนมาก อนุโมทนาบุญด้วย บุญจากวิหารทานครั้งนี้อุทิศแก่เทวดาของทุกท่าน และเทวดาทั่วไปด้วยเถิด สาธุ อ่า..เดี๋ยวมีลมมา เพื่อนทุกคนก็ กล่าว สาธุ พร้อมๆกัน (คือ มันอาจเกรงใจเราเลย สาธุพร้อมกันอัตโนมัติ) ...พร้อมกันนั้นก็เริ่มมีลมมาจากแผ่วแล้วแรงขึ้น วูๆๆ จนผมปลิวว่อนเลย ทุกคนตกใจ อุทานพร้อมกัน โอยย ขนลุก !!
นี่หละค่ะ ดิฉันจึงเชื่อหนักมาก และมาได้เห็นกับตาแบบนี้ .... อึ้ง!!!  

Thursday 31 March 2016

มีเงิน 10 บาทจะทำทานอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

#‎ทาน หรือ การทำทาน ถือเป็นการทำบุญในระดับต่ำสุดแล้วในทางพุทธศาสนา ในทานเองนี่ก็เหมือนกันค่ะ มีหลายระดับอีก

การทำบุญอันเป็นวัตถุทานนี้มีหลากระดับ 4 ระดับ ในระดับที่ 5  ไม่ต้องการวัตถุใดๆ แล้วค่ะ

วันนี้มี ถ้ามีเงิน 10 บาท ทำไงจะทำบุญให้ได้บุญมากที่สุด ที่มีลำดับบุญตามนี้

1. สังฆทาน ไม่ว่าจะถวายอะไรที่ถูกต้อง ควรถวายแก่พระทั้งวัด (ไม่เป็นส่วนบุคคลต่อตัวนะคะ) อาจซื้อไม้ขีดไฟสักกล่องถวายพระทั้งวัดก็ได้แล้ว
2. วิหารทาน ไปสร้างโบถส์ ร่วมสร้างวิหาร เอาเงินสิบบาทนั้นไปสร้างวิหาร เราก็ได้บุญสูงขึ้น
3. ปลอยสัตว์ ปล่อยชีวิตสัตว์จะถูกฆ่า นี่ยิ่งกว่าสร้างวิหารอีกค่ะ
4. ธรรมทาน หนังสือธรรมมะต่างๆ ทานอันยอดเยี่ยมคือ อันนี้

ตัวอย่างที่ดี ๆ สำหรับการทำธรรมะทานคือ งานศพ แจกหนังสือธรรมะ ก่อนแจก ควรขยันหยิบทีละเล่ม แล้วนำมาอธิษฐาน
"ข้าพเจ้าขอทำบุญหนังสือธรรมทานนี้ และขออุทิศบุญจากธรรมะทานนี้ ให้แก่ผู้ตายด้วยเถิด สาธุๆๆ"
ทำทีละเล่มเลยค่ะ อุทิศทีละเล่ม นั่งทำสักคืนนึงก่อนเผา ก่อนแจกแขก ... อันนี้ผู้ตายได้บุญเต็มๆ เลยค่ะ

ที่สูงกว่า 4 ลำดับนี้มีมั้ย มีค่ะ!!

คือไม่เป็นวัตถุทานแล้วหละ ทานสูงสุดคือ อภัยทาน อันนี้ไม่ใช้เงิน เป็นทานจากใจ จิตอันบริสุทธิ์ เป็นทานสูงสุด

จะเป็นคนมีโชคมีลาภนี่ ต้องมีวัตถุทาน สูงๆ ค่ะ

โดยส่วนตัวข้าพเจ้านี้ บุญเก่าๆของข้าพเจ้าน่าจะไม่มาทางสายวัตถุทานนี้หละคะ
มาทางภาวนาแน่เลย ...เรียน เขียน เอาค่ะ คือ มีเรียน เขียน อ่าน แต่ไม่รวยสักที ...





เรื่องจริง คนมีบาป !!

เรื่องนี้ ได้รับการรับรองจากพระพม่าและชาวพม่าว่า เป็นเรื่องจริง เคยถูกนำไปลงเป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งชาวพม่าจะเรียกกันว่า นางหมา

ผู้หญิงคนนี้มีปกติไม่เข้าวัดทำบุญ และด่าพ่อแม่เป็นประจำ ได้ทำกรรมหนักดังกล่าวตอนอายุ 20 ปี และกรรมก็ได้ตามทันหลังจากนั้นไม่นาน ใช้เวลาถึงห้าปีร่างกายจึงได้เปลี่ยนไปเป็นลักษณะแบบนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปภายในคืนเดียว ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนสุนัขเลย คือ เดินสี่ขาและเห่าเหมือนสุนัข เมื่อผู้คนพบเห็นก็ได้ถ่ายรูปและนำไปออกข่าว ทำให้เธอรู้สึกอายมากจึงได้ย้ายจากเมืองย่างกุ้งไปอยู่แถวชายแดนของพม่า ต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตลอดเวลา

ในภาพชื่อ น.ส. จ้อ คำนาง บิดาชื่อ นายคำหน่อ มารดาชื่อ นางมินตาล น.ส. จ้อ ได้ถูก พ่อ - แม่ ตามใจมาตลอด จนทำให้เสียนิสัย มีอยู่วันหนึ่ง น.ส. จ้อ ได้เข้าไปขอเงินแม่ในห้องพระ แม่ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวแม่ไหว้พระเสร็จก่อนแล้วแม่จะเอาเงินให้ น.ส. จ้อ จึงโกธรที่ไม่ได้ดังใจจึงเดินไปข้างหลังแม่ แล้วใช้เท้าถีบแม่ในขณะที่แม่ไหว้พระอยู่ จนแม่หน้าฟาดกับพื้น ฟันหักไปสองซี่ เลือดไหลออกจากปาก แม่ก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด และได้สาปแช่ง น.ส. จ้อ ต่างๆนาๆ จนพอวันรุ่งขึ้น น.ส. จ้อ ก็มีสภาพเปลี่ยนไปกลายร่างจากคน และมีรูปร่างคล้ายสุนัข ดังในรูปภาพ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ หมู่บ้าน สินคาน อำเภอ มิจินา ประเทศ พม่า 2549 นี้...


นางหมา 


Wednesday 16 March 2016

สติปัฏฐาน ๔ คืออะไร

สติ แปลว่า การตามระลึกรู้อารมณ์

ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง (ของการเพ่ง)

สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ฐาน หรือที่ตั้งอันเป็นที่รองรับของการกำหนดสติอย่างประเสริฐ เพราะเป็นการตามระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ (รูป-นาม) ที่เกิดขึ้นตามฐาน ซึ่งมี ๔ ฐานด้วยกัน คือ กาย เวทนา จิต และธรรม

ผู้ใดที่มีการปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐาน ย่อมเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาปัญญา อันเป็นปัญญาที่เข้าถึงสภาวธรรมของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ในที่สุด

ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ สามารถทำลายวิปลาสธรรม ๔ ประการได้

วิปลาสธรรม ๔ ประการ คือ 

๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณากาย ซึ่งเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงรูปนั้นเป็นอสุภะ(ความไม่งาม,ความน่าเกลียด) เป็นการทำลาย สุภวิปลาส(สำคัญว่างาม,ว่าน่ารัก)

๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาเวทนา ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงเแล้ว นามธรรมเป็นทุกข์ เป็นการทำลาย สุขวิปลาส(สำคัญว่าเป็นสุข)

๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วจิตนามธรรมเป็นอนิจจัง เป็นการทำลาย นิจจวิปลาส (สำคัญว่าเที่ยง)

๔. ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาธรรม ซึ่งเป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว รูป และนามนั้น เป็นอนัตตา เป็นการทำลาย อัตตวิปลาส (สำคัญว่าเป็นตัวตน)

ดังนั้น เมื่อเข้าใจคำนี้แล้วก็ให้เริ่มตั้งใจฝึกสติปัฏฐาน 4 กันเถิด...เพื่อทำลาย "วิปลาสธรรม" ต่างๆ ให้หมดไป 

สาธุ สาธุ สาธุ 

Sunday 6 March 2016

นิทานคุณธรรมสอนใจ "คนฉลาดกับคนโง่ ไปร่อนทอง"

วันนี้เอา นิทานสอนใจ มาให้อ่านกันอีกเรื่องหนึ่ง มาจากหนังสือชื่อ "นิทานคุณธรรม" เขียนและเรียบเรียงโดย นิทัศน์ ธีระวิทย์ เป็นของสำนักพิมพ์ book smile  เรื่องราวมีดังนี้,,,

คนฉลาดกับคนโง่ไปร่อนทองด้วยกัน หลังจากที่ร่อนทองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งแต่ละคนก็นำเอาทองที่ร่อนได้ และถุงน้ำหนังซึ่งบรรจุน้ำไว้เต็ม ติดตัวกลับมาด้วย เพราะในการเดินทางกลับนั้นจะต้องผ่านทะเลทราย ซึ่งน้ำถือว่าเป็นสิ่งที่ค่ามาก ฉะนั้น พวกเขาจะดื่มทีละแค่อึกเดียว

คนฉลาดเห็นคนโง่ไม่ค่อยดื่มน้ำ จึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทอง จึงพูดว่า

“ข้ายอมให้เจ้าดื่มน้ำอึกหนึ่ง ขอเพียงแค่เจ้าให้ทองข้าหนึ่งตำลึงก็พอ”

คนโง่ไม่ว่าอะไรเลย และผงกหัวตกลง

ไม่นานต่อมา คนโง่ก็ถามคนฉลาดว่า “ให้ข้าดื่มน้ำอีกสักอึกได้ไหม”

คนฉลาดตอบอย่างร่าเริงว่า “ได้สิ แต่คราวนี้ต้องแลกกับทองสองตำลึงนะ”

คนโง่ก็ตอบกลับทันทีว่า “ได้อยู่แล้ว”

ทั้งคู่ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนฉลาดยอมดื่มน้ำน้อยลงอีกหน่อย แต่ก็แลกกับทองของคนโง่มาได้ทั้งหมด

คนฉลาดแบงทองหนักขึ้นทุกที แต่ก็นึกดีใจ เทียบกับไปร่อนทองแล้วก็คือว่าคุ้มค่ามาก และไม่ต้องเสียเวลามากด้วย ซ้ำยังไม่ต้องเหนื่อยแทบเป็นแทบตายในการร่อนทอง นับว่ารวยทางลัดได้จริงๆ แต่คนโง่กลับไม่รู้สึกอะไรเช่นนั้น รู้สึกแค่ว่า ตอนนี้ตัวเบามาก และมีความสุขจริงๆ

คนฉลาดนึกในใจว่า “มันโง่จริงๆ “

ทั้งสองเดินทางมาจนเกือบถึงขอบทะเลทรายแล้ว แต่คนฉลาดทนความทรมานจากความกระหายน้ำต่อไปอีกไม่ไหว เขาล้มลงไปกองกับพื้น คนโง่ให้เขาดื่มน้ำอีกอึกเล็กๆ เขาจึงฟื้นขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือ

คนฉลาดหมดเรี่ยวแรง เหลือแต่ลมหายใจ พูดกับคนโง่ว่า

“ข้ายอมให้ทองหนึ่งตำลึงแลกกับน้ำหนึ่งอึกของเจ้า”

คนโง่เขย่าถุงน้ำของตัวเองแล้วก็สั่นหัว

คนฉลาดด้วยความกระหายน้ำอย่างเต็มที่แล้ว ก็เลยยอมบอกว่า “ทองสองตำลึงแลกกับน้ำหนึ่งอึกนะ”

คนโง่ยังคงสั่นหัว

“งั้นข้าให้ทองเจ้าทั้งหมดแลกกับน้ำหนึ่งอึกของเจ้า ตกลงหรือไม่”

คนโง่ยังคงสั่นหัว พร้อมกับชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ”

คนฉลาดโงหัวขึ้นมาดู ไม่ไกลนักมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง คนฉลาดตะเกียกตะกายคลานไปได้ไม่กี่ก้าว แข็งใจพูดออกมาว่า

“ตอนนี้ข้าต้องการแค่น้ำเพื่อให้รอดชีวิตเท่านั้น”

คนโง่เกิดถุงน้ำยื่นให้คนฉลาดดู พลางสั่นหัวและพูดว่า

“ที่ข้าสั่นหัวปฏิเสธ ก็เพราะ ไม่มีน้ำเหลือแล้ว”

นิทานเรื่องนี้ทิ้งให้จบไว้เพียงแค่นี้ ผู้เขียนคงต้องการให้ท่านผู้อ่านคิดกันต่อเองว่า ตกลงแล้วใครที่โง่ ใครที่ฉลาดกันแน่ จริงๆ แล้วเรื่องของความโลภในทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราตาบอด และทำให้เรามองไม่เห็นสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เรามักจะคิดแค่เพียงว่า ถ้าเรารวย และมีเงินทองมากมาย ก็จะทำให้เราทำอะไรก็ได้

แต่หารู้ไม่ว่า สถานการณ์ที่แตกต่างกันไป บางครั้งมีเงินมากมายก็ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย ดังนั้นจะทำอะไรจงพิจารณาให้ถ้วนถี่ และจงอย่าให้ความโลภมาทำให้เราหลงผิด คิดผิด และสุดท้ายเราอาจจะตายเหมือนกับคนฉลาดในเรื่องซึ่งมีทองอยู่เต็มตัว แต่ไม่สามารถที่จะรักษาชีวิตไว้ได้

CR: โดย อจ. ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร: Think People Consulting

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เป็นไงค่ะ ดิฉันชอบเรื่องนี้มากๆ เลย 

Friday 26 February 2016

เลื่อนคนอื่นขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง !


อาจารย์ท่านหนึ่ง ชวนลูกศิษย์ไปเดินตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นไปบนพื้นทราย เป็นเส้นคู่ขนาด ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ 


อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ" ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุต ให้สั้นลง จนเหลือเพียง ุ1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุต ดูโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ใช้ได้หรือยังครับ" 
อาจารย์เขกหัวศิษย์เบาๆ แล้วบอกว่า "คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู้แข่งนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้น เลือกใช้วิธีนี้ ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลว ไม่พัฒนา ทางที่ดี ควรเลือกวิธีการที่จะ "ยกตนเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง"   
อาจารย์ก็ทำการขีดเส้น 2 เส้น ให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดูด้วยการขีดเส้น 3 ฟุต ให้ยาวขึ้น เป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า ...


"จงอย่าคิดว่าขู่แข่งของเธอคือ ศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือ ดีกว่า เขาคือ คนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่งแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเราเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ ก็ไม่รู้จักสวยงาม" 


นักสู้ที่ดี มักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข็ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ จะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับขยายตัวเองไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น  
คนที่พยายามเลื่อนตัวเองไปโดยการ ฆ่าเพื่อน ฆ่าน้อง ขายเพื่อน ถึงแม้จะทำได้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ 


การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยวิธีการไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพภ์ที่ต่างกัน การเลื่อนตนเองขึ้น พร้อมกับการลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะแต่ก็มีศัตรูเป็น "ของแถม" แต่การเลื่อนตนเองโดยไม่ลดคนอื่น เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมี "เพื่อนแท้" เพิ่มขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย 
เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพ โดยแท้ ....


Wednesday 24 February 2016

ไปถวายเพลมา ในวันมาฆะบูชา ปี 59

น้อยใจจริงๆ ที่เป็นอิสสตรี ในวันบุญพระใหญ่แบบนี้ ...ขอระบายหน่อยค่ะ ...

วันนี้มีจิตเผลอไผลไปตอนที่กำลังประเคนอาหาร ด้วยว่าคนมากกว่าปกติ อาหารก็มาก แต่ดิฉันคล่องค่ะ ทำประจำเลยคุ้นเคยกับพิธีกรรม และหลายๆวัดในบริเวณบ้านไม่เกิน 15 กม. เดี้ยนไปมันแทบทุกวัดแหละ จึงรู้จริต โรงครัว ที่เก็บถาดที่ตั้งแถวตักบาตร รู้พิกัดเป็นอย่างดี โยมแยกออกด้วยนะว่าสายนี้ ปฏิบัติแนวแบบนี้จะนิยมหลวงช่วง แบบนี้นิยมพุทธวจนสายพระป่า ... แบบวัดหลวงธรรมยุตร ... สังเกตุเห็นหมด

จิตอกุศลไม่ได้เกี่ยวกับสายไหนๆ หรอกค่ะ แต่เกี่ยวกับน้อยอก น้อยใจ พอคนเยอะมีบางคน นาน นาน ท่านจะเข้าวัดที กลัวบุญตกหล่น รีบร้อน พอเข้าไปเรียงหน้ากันประเคน ถวายแล้วก็ไม่ถอย เก้กังๆ คือ งง ว่าเห้ยเสร็จแล้วยัง .. จะเอาอีกว่างั้น โยมพี่คนนี้ ก็รอจะประเคนอาหารเรามั่ง

ผู้ชายนั้นประเคนง่ายส่งตรงมือพระได้ พอถึงดิฉัน ก็ต้องชะงักรอ ให้พระท่านวางผ้า ถึงประเคนได้ แล้วพอไปแออัด โยมยืนกันค่ะ ค้ำหัวพระเลย รู้สึกไม่ดีเลย เศร้าใจชาวพุทธ ไปวัดวันสำคัญตามไบเบิ้ลเลยเนี่ย ... หาได้รู้ธรรมเช่นใดเลย พ่อแม่ทำให้บุตรหลานดู แบบหยาบๆ สืบต่อกันไปหมด ...

ด้วยต้องรอพระวางผ้าเพื่อสตรีมีสิทธิ์ประเคน พระทำท่าจะฉวยผ้า โยมผู้ชายยื่นถ้วยแกงพรวดจ่อหน้าท่าน พระท่านหันมามองหน้าดิฉัน อมยิ้มน้อยๆ เหมือนจะบอกว่า "รอหน่อยนะโยม" ดิฉันพยักหน้านิดนึง เหมือนจะบอกว่า "เอาที่สบายใจพี่บ่าวเขาแล้วกัน" ต้องรอจนกว่าพระว่างหันมาหยิบผ้าวางให้ประเคนได้... แต่โยมเห็นว่าท่าจะยาว จะถอยก็ไม่สะดวกอัดอยู่ข้างหลังก็เยอะ จึงนั่งคุกเข่า ต่ำกว่าพระรอท่านพร้อมวางผ้า และนั่นคือเป็นการบอกว่า "คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้" ฮาๆๆ.... จึงรอสิทธิ์อย่างมีศรัทธา

ตื่นเต้นมากค่ะ เพราะพอโยมตัดสินใจคุกเข่าเอาทางถูกจริตสบายใจเท่านั้นละ ทางสูงก็โล่ง มีการยื่นแกงข้ามหัวมาเลย รีบประเคนพระ เสียวจิ้ด กลัวแกงราดหัวโยม... แอบคิด #อกุศลจิต เนี่ย...อยากเป็นผู้ชายจังเลย ถวายอะไรก็ง่ายดาย เกิดเป็นหญิงจะทำบุญ ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้ายังยากเลย..

เสร็จสิ้นแล้ว มาอุทิศบุญกันเถอะ อันนี้เราคล่องกว่าเยอะหละ...

อุทิศบุญ
ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ ไปให้ทุกรูปทุกนาม ทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลกมารโลกยมโลก อบายภูมิทั้ง4 มีนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลภิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาน อรูปวิญญานและสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งที่เป็นมิตรและเป็นศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนามจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนามจงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าพึงได้รับ ณ. กาลบัดเดี๋ยวนี้เทอญ. สาธุ...

ปราชญ์ผู้สันโดษ

ปราชญ์ผู้สันโดษ
เขียนเล่าเรื่องพระไพศาล วิสาโล


พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) เป็นพระมหาเถระที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ที่สำคัญที่สุด ของพุทธศาสนาไทยในปัจจุบัน ว่าจำเพาะสมณศักดิ์ของท่านก็จัดว่าสูงมาก คือเป็นพระราชาคณะขั้นรองสมเด็จ แต่ท่านมีความเป็นอยู่อย่างสมถะมาก พึงพอใจในการอยู่อย่างเรียบง่าย และเสมอต้นเสมอปลายในเรื่องนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นพระชั้นผู้น้อยจวบจนถึงปัจจุบัน

เมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพิเรนทร์ แม้ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชวรมุนี และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมื่อหนังสือพุทธธรรม ฉบับขยายความ ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านแทบไม่ได้แตกต่างไปจากตอนเป็นพระหนุ่มเมื่อ ๒๐ ปีก่อนหน้านั้นเลย กุฏิของท่านมีหนังสือกับอุปกรณ์ที่ใช้เขียนหนังสือเป็นหลัก ดูโล่งและเป็นระเบียบ

คราวหนึ่งมีญาติโยมขออนุญาตติดเครื่องปรับอากาศให้ท่าน เนื่องจากรอบวัดเป็นย่านชุมชน มีมลภาวะมาก มิหนำซ้ำข้างวัดยังเป็นร้านทำทอง กลิ่นน้ำประสานทองโชยมาที่กุฏิของท่านทุกวัน ทำให้ท่านมีอาการภูมิแพ้ หอบ เหนื่อย แต่ท่านก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง แต่ญาติโยมก็ไม่ละความพยายาม ในที่สุดก็สามารถพาช่างมาติดเครื่องปรับอากาศให้ท่านจนได้ แต่ท่านก็ได้ใช้น้อยมาก เพราะไม่นาน ก็ย้ายออกไป เมื่อท่านไปยังวัดญาณเวศกวัน ท่านก็ยังไม่ยอมติดเครื่องปรับอากาศเช่นเดิม คงใช้แต่พัดลมช่วยระบายความร้อน เหมือนเมื่อครั้งอยู่วัดพระพิเรนทร์

ท่านเป็นพระเถระที่ไม่สะสม ทั้ง ๆ ที่ได้รับอติเรกลาภในโอกาสต่าง ๆเป็นประจำ โดยเฉพาะเวลามีญาติโยมมาจัดงานทำบุญถวายท่าน เนื่องในวันคล้ายวันเกิดบ้าง ในวันสำคัญทางศาสนาบ้าง หรือแสดงมุทิตาจิตที่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์บ้าง ของที่นำมาถวายนั้นเป็นสิ่งของเครื่องใช้มากมาย แต่เมื่อเสร็จงานแล้ว ท่านจะเก็บแต่เฉพาะหนังสือไว้ ส่วนของอื่น ๆ ท่านจะแจกต่อให้แก่พระเณรในวัด

ของถวายบางอย่างบรรจุใส่กล่องสวยงาม บางกล่องก็ห่อเป็นของขวัญ ท่านก็ไม่เปิดดูด้วยซ้ำว่าข้างในเป็นอะไร วิธีการแจกของท่านก็คือติดหมายเลขที่กล่องเหล่านั้น แล้วทำสลากให้พระเณรแต่ละรูปมาจับ ใครได้สลากตรงกับของกล่องใด ก็รับของกล่องนั้นไป ว่ากันว่า การแจกแบบนี้สามเณรในวัดชอบมาก เพราะอาจได้ของใช้ดี ๆ ซึ่งตามปกติไม่มีโอกาสได้รับ

นอกจากของขวัญ ค่าลิขสิทธิ์หรือค่าตอบแทนจากงานเขียน ท่านก็ไม่เคยรับ หากแต่บริจาคให้แก่สถาบัน มูลนิธิ หรือสาธารณกุศลต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะท่านถือว่างานเขียนเหล่านั้นเป็นการบำเพ็ญธรรมทาน อันเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของบรรพชิต งานบรรยายก็เช่นกัน ไม่ว่าที่ไหน เมื่อเจ้าภาพถวายซองปัจจัยแก่ท่าน ท่านก็จะมอบคืนเพื่อเป็นทุนดำเนินงานขององค์กรเหล่านั้นต่อไป โดยไม่เคยเปิดดูเลยว่าในซองนั้นมีเงินเท่าไร หากมีผู้มาถวายปัจจัยให้แก่ท่านที่วัด ท่านก็จะมอบให้เป็นสมบัติของสงฆ์ ไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว

‪#‎คัดลอกบทความจากเพจ‬ วัดป่าสุคะโต ธรรมชาติที่พักใจ

Thursday 18 February 2016

ข้อปฏิบัติ และกระบวนการในการใส่บาตรพระที่ถูกต้อง

ในการใส่บาตรพระ จริงๆ แล้วเรา "ชาวไทยพุทธ" มีประเพณีที่ปฏิบัติกันมาเป็นกิจกรรม ดิฉันผู้เขียนเอง ก็ยังไม่ทราบที่มาหรอกค่ะ (ยังไม่ได้ค้นคว้า) แต่มั่นใจว่ากระบวนการตามวิธีการตักบาตรนี้น่าจะยึดถือและนำมาปฏิบัติต่อไปอย่างถูกต้องสวยงาม ดีงาม ตามที่บรรพบุรุษยึดถือมานาน

น่าจะเป็นไปตามจารึกทางพุทธศาสนา และขณะนี้ รู้สึกว่า คนรุ่นใหม่ จะเริ่มหลงลืมกระบวนการที่ถูกต้อง ซึ่งเราก็มิใช่ว่าจะหลงเน้นแต่พิธีกรรม แต่มันเป็นพุทธะกริยาที่สมควรสืบทอดไว้ เป็นกิจกรรมที่อ่อนโยน ดูมีวัฒนธรรมตามจารีตประเพณีของชาวไทย หรือ ชาวเอเชียส่วนใหญ่ ซึ่งชนชาวแถบๆเอเซียเราจะทำได้สวย อ่อนช้อย ดูดี

ดังนั้นเราควรจะให้ลูกหลาน ได้เรียนรู้ หรือ ควรจะบรรจุไว้ในหนึ่งกิจกรรมที่โรงเรียนควรนำมาฝึกเยาวชนให้เข้าใจ พร้อมใจปฏิบัติ ลดทอนความกระด้าง กระโดกกระเดก จำได้ว่าผ่านมายุคสมัยหนึ่ง ในช่วงเวลาอายุของผู้เขียนนี่เอง ต้องยอมรับว่า ไม่ค่อยทราบกัน เพราะเราโตมาในยุค เทคโนโลยีเบ่งบาน วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเป็นเกณฑ์มาตรฐานกิจกรรม ทำให้จารีตเราดูงมงาย ไร้สาระ ... เสียดายสิ่งที่พ่อแม่ปู่ย่าสะสมมาจริงๆ ...

ในการตักบาตรนั้น นอกจากเราต้องเตรียมของใส่บาตร ตามความเชื่อว่า ต้องมี อาหาร น้ำ คาวหวาน ดอกไม้ธุปเทียนแล้ว แต่ดิฉันนั้น..พ่อแม่เคยสอนว่า มีอะไรจะใส่ ก็ใส่ได้ ตามความพร้อมเพราะเราตักทุกวันมากน้อยแต่ให้สม่ำเสมอมิให้ขาด อยากให้เราใส่บาตรทุกวัน เพราะพระเขาไม่สะสมอาหาร หมดแค่เที่ยงต่อวัน พระท่านเดินผ่านหน้าบ้านทุกวัน (ต้องตื่นเช้าเลยสิ) แต่ทุกวันน้ำนี่อย่าให้ขาด เพราะพระจะฉันแล้วติดคอ ดอกไม้ ก็เพื่อให้สวยชาติหน้า แต่จริงๆ คือ พระเขาไม่ให้เด็ดดอกไม้ จะมีดอกไม้ไปบูชาพระ ก็ต้องมีโยมตักบาตรถวายนี่แหละ แล้วดอกไม้ก็เหี่ยวทุกวัน ต้องเปลี่ยนทุกวัน ...จำติดใจ โดนปลูกฝังอย่างไรมา ก็ปฏิบัติตามนั้น ...



มาดูวิธีปฏิบัติ ตามที่พระอริยะโอวาท ว่าไว้ค่ะ ตามพุทธวจน ไปค้นๆ มา เพื่อให้พุทธสานิกชน ได้ดำเนินสืบทอดให้ยาวนาน มาเริ่มกระบวนการตักบาตรกันค่ะ

1. การนิมนต์พระ

เมื่อพระเดินมาบิณฑบาตร และ หลังจากพวกเราเตรียมอาหาร สำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระ พอพระเดินมาถึงเรา เราก็ต้อง "นิมนต์ท่าน" การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/นิมนต์ค่ะท่าน" แค่นี้ พระก็ทราบแล้วว่าโยมจะตักบาตร  ไม่ต้องใช้คำนิมนต์ให้ยากอะไรนัก "ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ นิมนต์เจ้าค่ะ" อันนี้ ก็ไฮโซไปนะคะ หรือ "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" พระอาจสะดุ้งได้ หากท่านเพิ่งบวชไปแค่ อาทิตย์เดียวเอง ...

การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวม และ ใช้เสียงดังพอประมาณ   โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิโมนนนน" ตะโกนลั่น มันไม่สำรวมน่ะค่ะ นอกจากนี้ ต้องสังเกตุอายุของพระด้วย ถ้าเป็นพระเด็กๆ ก็ไม่ต้องเรียกหลวงพี่ หลวงน้าอะไรหรอกค่ะ เรียก "ท่าน" ตามปกติไปนี่แหละ ..บางคนไม่ค่อยได้ทำ เขินอาย หรือ ลนลาน พาลกวักมือเรียกเพราะ พร้อมกับเปล่งวาจา จอดๆๆ จอดค่ะ จอด ... อันนี้ก็ไม่ควรเขิล หรือ ลนลานจนเกินเหตุ ศึกษาไว้ จะได้ทราบและพร้อมทำอย่างถูกต้อง ... ครั้งสองครั้งก็คล่องแล้วค่ะ ...

2.จบ 

การจบคือ การยกสิ่งของที่เราจะถวายพระ หรือ ใส่บาตร ขึ้นมาจรดหน้าผาก พร้อมทำการอธิษฐานและควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ใช่ให้พระท่านยืนเปิดฝาบาตรรอ จนท่านสงสัย โยมอธิษฐานขออะไรหนอ มากมายขนาดท่านต้องคอยนานมาก..

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า

จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือ การให้ความเคารพพระสงฆ์ โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่านเพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตรท่านจะเดินเท้าเปล่า (บางท่านปัจจุบันสวมรองเท้า แต่ก็บางๆ เท่านั้น) บางญาติโยมมีไม่เข้าใจ ถอดรองเท้า แต่ก็กลับเอารองเท้ามารองโดยขึ้นไปยืนบนรองเท้าอีกทีซะงั้น  หรือบางโยม ขึ้นไปยืนบนฟุตบาท แต่พระยืนบนพื้นถนน ต่ำกว่าโยมไปเสียงั้น ระวังกันด้วยค่ะ ให้พระท่านไปยืนบนฟุตบาท เราลงมาที่พื้นถนนเถิดค่ะ

4. ใส่บาตร 

มาถึงการใส่บาตรเสียที การใส่บาตร มีสิ่งที่พระท่านชอบเล่าขำๆ เวลาดิฉันไปถวายเพล มีเวลานั่งคุยกับพระ เพราะดิฉันจะถามท่านว่า ใส่บาตรได้มั้ยเจ้าคะ สิ่งนี้ พรุ่งนี้จะได้ใส่ไปพร้อม ไม่เช้่นนั้น จะนำมาถวายทีหลัง ปัจจุบันทุกคนมักมองข้ามว่าสิ่งใดควรใส่บาตร สิงใดๆ เขาไม่ใส่ในบาตรกัน ทั้งโยม ทั้งพระพอกัน ทุกวันนี้ อ้าฝาบาตรพร้อมรับหมด ท่านลืมหรือ ท่านไม่ทราบ ดิฉันก็สุดคาดเดา กับข้าว ข้าว ก็ใสบาตรได้ แต่บางอย่างก็ให้วางบนฝาบาตรแทนค่ะ และวางด้วยความสำรวมค่ะ

5. รับพร 

หลังจากใส่บาตรแล้ว พระสงฆ์ก็จะให้พร เราก็ประนมมือรับตามระเบียบ นั่งคุกเข่า หรือย่อตัวลง หากไม่สะดวกจริงๆ ที่จะปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็ยืนประนมมือสำรวม แต่ควรนั่งลงเพื่อจารีตที่สวยงามนะคะ ลูกหลานจะได้ไม่จำไปผิดๆ ...


จบกระบวนการค่ะ ขอให้สาธุชน ตักบาตรกันให้สะดวกสบายใจไม่ขัดเขินนะคะ การสะสมบุญโดยการตักบาตร หลวงพ่อจรัญสอนว่า อย่าไปคิดว่า พระจริง พระเก๊ ...เราตักไปด้วยความตั้งใจดี ก็เป็นบุญเราค่ะ



Monday 15 February 2016

ข้าพเจ้าอุทิศบุญแล้วเจอเหตการณ์ประหลาด ...????

กรวดน้ำอุทิศบุญ ขณะที่ทำ ได้ยินเสียงทุบประตู
เสียงที่ได้ยิน คือ อะไร ?


ข้าพเจ้านั้นตั้งใจยิ่งด้วยอายุมากขึ้น กลัวสะสมบุญไม่ทันล้างกรรมเก่า รวมทั้งสำนึกกรรมใหม่ที่ก่อมาอีกมากมาย..ไม่อยากคิด...บารมีอาจมีถึงพอจะเข้าใจพุทธศาสนา จึงว่าจะเลี่ยงเรื่องกรรมทั้งปวงแม้แต่วจีกรรม มโนกรรม จากเล็กๆน้อยๆจะฝึกไปจนให้มันแข็งกล้าละเรื่องใหญ่ๆไปจนเรียบนิ่ง...แก่กล้าในกุศลลดทอนกรรมที่เผิชญอยู่และยังจะต้องพบเจอในอนาคต...อะไรที่มันจอมปลอมปลิ้นปล้อนกันนักก็หวังละเว้น หลักเลี่ยง คือ ลดความ ผิดพลาด ก่อกรรมให้น้อยที่สุดชดใช้กรรมให้มากที่สุด เพราะได้ศึกษาเรื่องกรรมมากขึ้น...มีเวลาอ่านบันทึกต่างๆมากมายขึ้น... ความแตกต่างของกรรมที่ทำให้คนแตกต่าง...ต่างคนต่างกรรมต่างวาระ จนเรียกได้ว่าเชื่อใน #ลัทธิกรรม. ต้องเรียกอย่างนี้ มีพระอาจารย์หลายท่านที่ปฏิบัติธรรมมายาวนาน ท่านจะสรุปมรรคผลที่ท่านเรียนรู้เชื่อถือ พยายามบอกกล่าวคือ กรรมมีจริง แต่ข้าพเจ้าขอเรียกมันว่า...ความเชื่อในลัทธิกรรมเก่า จึงคิดว่ากรรมมีจริง...


พระอาจารย์ที่มุ่งมาทางลัทธิกรรม ทฤษฏีกฏแห่งกรรม หลักการภพชาติ ได้แก่

สมเด็จพระณาณสังวรฯ

หลวงพ่อจรัญฯสมเด็จ

พระพุฒจารย์โต

แม่ชีทศพรฯ

เกจิ..สมเด็จเหล่านี้..ชัดเจนในเรื่องการเจาะลึกทฤฏีกรรม รวมทั้งให้แนวทางการลดทอนกรรมการสร้างบุญ การสวดมนต์สร้างบารมีให้แก่กล้าจนเห็นกรรม...เห็นด้วยตนเองระลึกได้ด้วยตนเอง...สามารถกระทำได้ ท่านเหล่านี้ให้แนวทางไว้แล้ว...เมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาได้อ่านบทความต่างๆที่เพื่อนๆแชร์ๆมา ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าจะลองปฏิบัติดูว่า...เลือกเอาเรื่อง...ต่างๆมาลองทำดู..ได้แก่

#การทำกรรมดีในแต่ละวันแล้วเราอุทิศบุญบ่อยๆทุกครั้งไม่ว่าทำกุศลอะไรตั้งใจทำอย่างจริงใจมุ่งมั่นทำสติจดจ้องรวมจิตใจเพ่งสมาธิเพื่ออุทิศบุญสม่ำเสมอ...โดยการกรวดน้ำลงดินจริงๆ....ข้าพเจ้าจะลองทำดูสิ จะได้ผลยังไง?ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเตรียมที่กรวดน้ำพร้อมเสมอข้างตัวเติมน้ำไว้รอหลั่งลงดินเมื่อข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าทำกรรมดี..!!!

#กรรมดีอะไรที่ข้าพเจ้าจะทำนอกจากไปตักบาตรทุกวันแล้วก่อนไปจุดธูปหลังตักบาตรกรวดน้ำก็ทำบ่อยไม่เว้นวันพระเลย หนึ่งหละ ข้าพเจ้าจะกำหนดเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วมันมีอะไรบ้าง...ข้าพเจ้าคิดทบทวนไปมากมาย สรุปได้หลายพฤติกรรมที่จะละเว้นที่จะปฏิบัติ ตย. ผุดขึ้นมามากมาย พ่อข้าพเจ้าเองที่เป็นตัวอย่างดีๆหลายอย่างแก่กล้าบริสุทธิ์ในตัวท่านเอง...ไกล้นิดเดียว! เราเป็นบุตรี ได้มาทางสายเลือดอยู่แล้ว...ทำไมไม่ดูท่านเป็นตย. จึงได้แนวทางทำได้เลย...


#กรรมดีเผยแพร่ธรรมมะทาน ข้าพเจ้าก็ทำไปเรื่องนึงคือพิมพ์แผ่นธรรมทานกรวดน้ำไปแล้ว ทำตามวาระ แต่ยังมีอีกแบบคือ ตั้งใจว่าจะพิมพ์ธรรมมะสรุปจากบทต่างๆหนังสือต่างๆมาถอดความสรุปใหม่ เขียนตามความเข้าใจของตัวเองจากประสบการณ์กรรม การน์แปลกๆที่อุบัติขึ้นให้ข้าพเจ้าแปลกใจเสมอๆมาแบ่งปัน พยายามเขียนพิมพ์สรุปให้หลายๆท่านได้อ่านและเป็นบุญกุศลต่อข้าพเจ้าเอง...นี่คือความตั้งใจในกุศลกรรมดี...ตามหลักการของทฤษฏี #ลัทธิกรรม โดยหลวงพ่อจรัญบอกว่าให้ ลดทอนกรรมได้ แต่สมเด็จพระญาณสังวรมิได้กล่าวไว้เช่นนี้ แต่ให้มุ่งสร้างบุญหนีกรรม...อาจจะคล้ายกันแต่แนวทางปฏิบัติต่างกันเล็กน้อย...อ้างอิงตามความเข้าใจของข้าพเจ้าเองขณะเขียนนี้...อนาคตอาจไม่ใช่หากเข้าใจหรือศึกษาได้ลึกซึ้งกว่านี้...(เพิ่งศึกษาจริงจัง 3 วัน)


#เมื่อตั้งใจจึงมุ่งทดลอง การทดลองคือ ตามหลักการพระญาณสังวรคือ ทำจิตเป็นกุศล สวดมนต์สม่ำเสมอ ข้าพเจ้ากระทำ...ตามหลักการของหลวงพ่อจรัญคือ ตักบาตรทุกวัน สวดมนต์ แผ่เมตตาผู้อื่นตนเอง ปฏิบัติกรรมมัฐฐาน และอุทิศบุญสม่ำเสมอทุกครั้งที่ทำกรรมดี ข้าพเจ้ามุ่งกระทำ....วานนี้ข้าพเจ้าก็ไปค้นหาเนื้อหาข้อมูลเกี่ยวกับ ศีล 8. ลงในเฟสบุ้คเป็น"เทคโนโลธรรมมะทาน" ตั้งใจพิมพ์ด้วยจิตเป็นกุศลเต็มที่และนำภาพมาประกอบให้ตรงกันแบบผู้รู้ หวังว่าคนอื่นที่มาอ่านจะได้เข้าใจไปด้วย มากน้อยผิวเผินก็ยังดีกว่า ไม่ได้เคยรู้อะไรเกี่ยวกับศีล 8. คืออะไรเลย...พยายามนั่งพิมพ์ด้วยจิตปิติ...จนกระทั่งสัก 2 ทุ่มของเมื่อวาน เหลือบมาอ่านเฟส มีผู้มาแชร์ธรรมะทานที่ตั้งใจเผยแพร่ด้วจิตกุศลเต็มเปี่ยม...เห็นดังนั้นดีใจ จึงเดินไปหยิบขวดกรวดน้ำประจำกาย...เดินออกไปนั่งใต้ต้นไม้..จุดธูป 3 ดอกแล้วตั้งจิตอธิษฐาน...ตามความเชื่อลัทธิกรรมของหลวงพ่อจรัญฯ...ดังนี้...



#เมื่อทำกุศลดี ทุกครั้งตั้งนะโม 3 จบ ข้าพเจ้า...เกิดวันที่ ... ข้าพเจ้าขอตั้งจิตถึงบารมีสิ่งศักสิทธิ์ทั่วสากลโลกที่ปกปักรักษาลูกอยู่ วันนี้ลูกได้ตั้งจิตถวายบุญกุศลนี้ ... แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขอให้ผลบุญส่งให้ลูกเจริญก้าวหน้าขึ้น ทั้งหน้าที่การงาน ความรัก และขออุทิศบุญกุศลนี้ ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติและรวมถึงวิญญานที่ตามมา ทุกผู้ทุกตนให้มารับ"มหากุศล"นี้เทอญ... สาธุ สาธุ สาธุ


ขณะกรวดน้ำลงดินหยดสุดท้าย ข้าพเจ้ายังกล่าวคำว่าสาธุๆ จะเอ่ยสาธุครั้งที่ 3. ยังไม่ทันได้เอ่ย..จู่ๆประตูบ้านก็มีเสียงเหมือนใครกระแทกประตู พร้อมมีเสียงเล็บลากแกรกๆด้วย ข้าพเจ้าสะดุ้งนึกว่าหมาจะออกมาตามจึงกระโดดตะปบประตู....จึงวิ่งไปเปิดประตู ใจก็คิดว่าจะเห็นหมาน้อย...กะจะหยอกล้อว่า อ้อๆๆจะออกมาตามแม่ใช้ม๊าาาา....แต่เมื่อเปิดประตู...หลังประตูนั้นไม่มีอะไรสักตัว หมาหรือเงาใดๆ...งงเล็กน้อย???? จึงร้องเรียกจะดูว่าหมามากระโดดตะปบประตูแรงขนาดนั้นแอบหนีไปไหน แต่เมื่อเดินหาก็ต้องแปลกใจอีกเพราะหมาน้อยนอนหลับมุ่ยตุ้ยใต้โซฟาด้านในห่างประตูมาก มันได้ยินเสียงเรียกมีบิดตัวแบบบิดขี้เกียจเหมือนว่านอนเพลินๆมาเรียกทำไม????สรุปคือลูซี่ไม่ได้เคาะ งั้นใครเคาะตอนเรากรวดน้ำ!!!


แต่มีเสียงดังโครมแกรกๆๆๆ...ชัดเจนมาก ข้าพเจ้าขนลุก ยกหูโทรหาน้องชาย ...มันคืออะไรวะ????
หรือเขารับบุญหรือเขาไม่ต้องการ หรืออะไร ??????
สิ่งที่ได้ยินเกิดจากการอุทิศบุญใช่หรือไม่...งั้นยิ่งต้องทำเพิ่มๆๆๆๆๆๆๆ 
หรือเขามาบอกว่าทำถูกแล้ว ทำแบบนี้มีจริง....ถ้าแบบนั้นข้าพเจ้ายิ่งเชื่อมั่นมากแต่วันนี้ไม่มีกรรมดีใดๆพอจะอุทิศได้ วันนี้เมตตาหลานสาวขับรถพาำปซื้อถุงน่อง ซื้อน้ำหอม...ให้เขาเป็นสุข. อันนี้อุทิศได้มั้ย????

ไม่มีความดีค่ะวันนี้!!!!! แต่อยากกรวดน้ำอีก อยากค้นหาที่มาของเสียงถีบประตูดังโครมนั่น...?????มันคืออะไร????

#เรื่องนี้หลอนไม่ตลกและเชื่อในบุญกรรมมากมาย

Saturday 13 February 2016

LAW OF KARMA : บันทึกเรื่องกฏแห่งกรรมของความสัมพันธ์ของเผ่าพันธุ์ ล้วนเป็นตามกรรม

ตาม‎คัมภีร์กฎแห่งกรรม‬ 3 ชาติ หรือ ตามความเชื่อในทฤษฏีความเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม (Law of Karma) 

ได้บันทึกไว้ว่า “สามีภรรยา " มีกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะกรรมดี หรือกรรมชั่ว ถ้าไม่มีกรรม ร่วมกันมา ก็ไม่อาจอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันได้ " บุตรธิดา " คือ หนี้ ไม่ว่าจะเป็นทวงหนี้ หรือชดใช้หนี้ ไม่มีหนี้ ไม่มาเกิดเป็น พ่อ แม่ ลูกกัน”



ดังนั้น สามีภรรยา ที่มีกรรมดีร่วมกันมา ย่อมสมานสามัคคี รักใคร่กลมเกลียว ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ส่วนสามีภรรยา ที่มีกรรมชั่ว ร่วมกัน มาแต่อดีตชาติ ย่อม ทะเลาะเบาะแว้ง บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่อาจอยู่ร่วมกัน จนวันตาย

ส่วน " บุตรธิดา " ที่มาทวงหนี้ เป็นลูกที่ไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจไม่ วายเว้น " บุตรธิดา " ที่มาใช้หนี้ จะสำรวมระวัง รู้คุณทดแทนคุณ ไม่กล้า ทำให้พ่อแม่ ชอกช้ำใจ ชาวโลก ทุกคน เกิดมาต่างหนีไม่พ้น พบ พราก สุข ทุกข์ เศร้า อภัย แค้น รัก ชัง นี่คือผลแห่งของกรรม ปลูกเหตุเช่นไร ย่อมได้ลิ้มผลเช่นนั้น ไม่ว่าจะเหตุใด หรือ ผลใด ล้วนหนีไม่พ้น กฏแห่งกรรมทั้งสิ้น

1. มาแทนคุณ ด้วยบุญในอดีต
ที่ได้สั่งสมร่วมกันมา ด้วยพระคุณที่มีต่อกัน จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า “ลูกกตัญญู” เขามาเพื่อที่จะทดแทนคุณ เป็นเด็กดี ฉลาด เชื่อฟัง เขาเหล่านี้ไม่มีทาง จะทำอะไรเสียหาย ให้พ่อแม่ต้อง กลัดกลุ้มกังวลใจ

2. มาล้างแค้น ด้วยกรรมในอดีต
ที่ได้สร้างร่วมกันมา จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เมื่อเติบใหญ่ก็จะกลายเป็นลูกล้างผลาญ ทำให้ครอบครัวล่มสลาย เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า “ลูกทรพี” เขามาล้างแค้น ดังนั้น อย่าได้ผูกเวรไว้กับเขา เจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ภายนอก ยังพอป้องกันได้ แต่นี่เกิดมาเป็นลูกหลานในบ้านใน ตระกูลแล้ว จะทำอย่างไรดี ดังนั้น อย่าทำร้ายใคร อย่าฆ่าแกงกัน เพราะต่างคนต่างก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน


3. มาทวงหนี้ ชาติก่อนหนหลัง 

พ่อแม่เป็นหนี้ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน หนี้ที่ว่าคือ หนี้เงิน ไม่ใช่หนี้ชีวิต เขาจึงเกิดมาเพื่อทวงหนี้คืน หากเป็นหนี้กันน้อย เกิดมาให้ดูแลปีสองปีเขาก็ตาย เราเป็นหนี้เขาเท่าไหร่ เมื่อใช้หมด เขาก็ไป ต่อให้คุณรักเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยใส่ใจคุณ หากเป็นหนี้เขาเยอะ เลี้ยงจนเติบใหญ่ จบมหาวิทยาลัย เรียนจบวันนั้น ก็ตายวันนั้น เขาไม่อยู่รับใช้เรา เพราะมาทวงหนี้ หนี้หมดก็จากไป

4. มาใช้หนี้ชาติก่อนหนหลัง
เขาเป็นหนี้พ่อแม่ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน เมื่อเขาเกิดมาในชาตินี้ จึงต้องทำงาน หาเงิน เหน็ดเหนื่อย เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็อยู่ที่ว่า เป็นหนี้พ่อแม่มาก น้อยเพียงใด หากเป็นหนี้มาก ก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เป็นอย่างดี หากเป็นหนี้พ่อแม่น้อย ก็เลี้ยงดูตามอัตภาพเหมือนที่เราเคยพบเห็น เลี้ยงพ่อแม่ประหนึ่งคนรับใช้ในบ้าน เพราะอะไร เพราะมาใช้หนี้กรรม ลูกประเภทนี้ แม้จะเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็หล่อเลี้ยงแค่กาย ไม่หล่อเลี้ยงจิตใจ เลี้ยงดูโดยปราศจากความเคารพ และความกตัญญู ซึ่งต่างจากบุตรที่เกิดมา เพื่อทดแทนคุณ ประเภทนี้ไม่เพียงแต่หล่อเลี้ยงกาย ยังหล่อเลี้ยง จิตใจบุพการี ด้วย


หลักธรรมในข้อนี้ มิใช่เพียงแค่ลูกหลาน ยังรวมทั้งญาติพี่น้อง และคนรอบข้าง ทั้งหลาย ที่เราได้รู้จัก และเคยได้อยู่ร่วมกันมา หากแต่เป็นเพราะ กรรมที่ก่อกันมา หนักหนา หรือ เบาบาง หากบุญคุณ ความแค้นหนักหนา ก็เกิดมาเป็นสามีภรรยา และลูกหลานพี่น้อง หากบุญคุณ และความแค้นเบาบาง ก็เกิดมาเป็นญาติสนิทมิตรสหาย คุณเดินซื้อของในตลาด อยู่ๆคนแปลกหน้า ก็มายิ้มให้คุณและ คุณก็ยิ้มตอบ ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อน แต่ถ้าคุณรู้สึก ขัดหูขัดตา แถมไม่พอใจ ยังถมึงตา ใส่ฝ่ายตรงข้ามอีก นี่ก็ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อนเมื่อเข้าใจในกฏแห่งกรรม เหล่านี้ เราจะได้ไม่ผูกกรรมด้านดำเพิ่ม แต่จงผูกกรรมด้านขาวซึ่งเป็นกรรมดีจะดีกว่า


แล้วจะแก้ไขอย่างไร หากเราและลูกหลานผูกกรรมที่ ไม่ดีต่อกันมา แต่ปางก่อนแล้ว คำตอบก็คือ นำพาลูกหลานเข้าวัด หมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อต่างฝ่ายต่างศึกษาธรรม ย่อมแปรกรรมร้าย ให้กลายเป็นกรรมดีได้ ย่อมคลายความจองจำ คับแค้นให้สลายคลายลงได้ เช่นนี้ที่เราเรียกว่า "เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เปลี่ยนร้าย กลายเป็นดี”
สาธุ...

อ่านจบแล้วแชร์ไปได้บุญ