Thursday 31 March 2016

มีเงิน 10 บาทจะทำทานอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

#‎ทาน หรือ การทำทาน ถือเป็นการทำบุญในระดับต่ำสุดแล้วในทางพุทธศาสนา ในทานเองนี่ก็เหมือนกันค่ะ มีหลายระดับอีก

การทำบุญอันเป็นวัตถุทานนี้มีหลากระดับ 4 ระดับ ในระดับที่ 5  ไม่ต้องการวัตถุใดๆ แล้วค่ะ

วันนี้มี ถ้ามีเงิน 10 บาท ทำไงจะทำบุญให้ได้บุญมากที่สุด ที่มีลำดับบุญตามนี้

1. สังฆทาน ไม่ว่าจะถวายอะไรที่ถูกต้อง ควรถวายแก่พระทั้งวัด (ไม่เป็นส่วนบุคคลต่อตัวนะคะ) อาจซื้อไม้ขีดไฟสักกล่องถวายพระทั้งวัดก็ได้แล้ว
2. วิหารทาน ไปสร้างโบถส์ ร่วมสร้างวิหาร เอาเงินสิบบาทนั้นไปสร้างวิหาร เราก็ได้บุญสูงขึ้น
3. ปลอยสัตว์ ปล่อยชีวิตสัตว์จะถูกฆ่า นี่ยิ่งกว่าสร้างวิหารอีกค่ะ
4. ธรรมทาน หนังสือธรรมมะต่างๆ ทานอันยอดเยี่ยมคือ อันนี้

ตัวอย่างที่ดี ๆ สำหรับการทำธรรมะทานคือ งานศพ แจกหนังสือธรรมะ ก่อนแจก ควรขยันหยิบทีละเล่ม แล้วนำมาอธิษฐาน
"ข้าพเจ้าขอทำบุญหนังสือธรรมทานนี้ และขออุทิศบุญจากธรรมะทานนี้ ให้แก่ผู้ตายด้วยเถิด สาธุๆๆ"
ทำทีละเล่มเลยค่ะ อุทิศทีละเล่ม นั่งทำสักคืนนึงก่อนเผา ก่อนแจกแขก ... อันนี้ผู้ตายได้บุญเต็มๆ เลยค่ะ

ที่สูงกว่า 4 ลำดับนี้มีมั้ย มีค่ะ!!

คือไม่เป็นวัตถุทานแล้วหละ ทานสูงสุดคือ อภัยทาน อันนี้ไม่ใช้เงิน เป็นทานจากใจ จิตอันบริสุทธิ์ เป็นทานสูงสุด

จะเป็นคนมีโชคมีลาภนี่ ต้องมีวัตถุทาน สูงๆ ค่ะ

โดยส่วนตัวข้าพเจ้านี้ บุญเก่าๆของข้าพเจ้าน่าจะไม่มาทางสายวัตถุทานนี้หละคะ
มาทางภาวนาแน่เลย ...เรียน เขียน เอาค่ะ คือ มีเรียน เขียน อ่าน แต่ไม่รวยสักที ...





เรื่องจริง คนมีบาป !!

เรื่องนี้ ได้รับการรับรองจากพระพม่าและชาวพม่าว่า เป็นเรื่องจริง เคยถูกนำไปลงเป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งชาวพม่าจะเรียกกันว่า นางหมา

ผู้หญิงคนนี้มีปกติไม่เข้าวัดทำบุญ และด่าพ่อแม่เป็นประจำ ได้ทำกรรมหนักดังกล่าวตอนอายุ 20 ปี และกรรมก็ได้ตามทันหลังจากนั้นไม่นาน ใช้เวลาถึงห้าปีร่างกายจึงได้เปลี่ยนไปเป็นลักษณะแบบนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปภายในคืนเดียว ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนสุนัขเลย คือ เดินสี่ขาและเห่าเหมือนสุนัข เมื่อผู้คนพบเห็นก็ได้ถ่ายรูปและนำไปออกข่าว ทำให้เธอรู้สึกอายมากจึงได้ย้ายจากเมืองย่างกุ้งไปอยู่แถวชายแดนของพม่า ต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตลอดเวลา

ในภาพชื่อ น.ส. จ้อ คำนาง บิดาชื่อ นายคำหน่อ มารดาชื่อ นางมินตาล น.ส. จ้อ ได้ถูก พ่อ - แม่ ตามใจมาตลอด จนทำให้เสียนิสัย มีอยู่วันหนึ่ง น.ส. จ้อ ได้เข้าไปขอเงินแม่ในห้องพระ แม่ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวแม่ไหว้พระเสร็จก่อนแล้วแม่จะเอาเงินให้ น.ส. จ้อ จึงโกธรที่ไม่ได้ดังใจจึงเดินไปข้างหลังแม่ แล้วใช้เท้าถีบแม่ในขณะที่แม่ไหว้พระอยู่ จนแม่หน้าฟาดกับพื้น ฟันหักไปสองซี่ เลือดไหลออกจากปาก แม่ก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด และได้สาปแช่ง น.ส. จ้อ ต่างๆนาๆ จนพอวันรุ่งขึ้น น.ส. จ้อ ก็มีสภาพเปลี่ยนไปกลายร่างจากคน และมีรูปร่างคล้ายสุนัข ดังในรูปภาพ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ หมู่บ้าน สินคาน อำเภอ มิจินา ประเทศ พม่า 2549 นี้...


นางหมา 


Wednesday 16 March 2016

สติปัฏฐาน ๔ คืออะไร

สติ แปลว่า การตามระลึกรู้อารมณ์

ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง (ของการเพ่ง)

สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ฐาน หรือที่ตั้งอันเป็นที่รองรับของการกำหนดสติอย่างประเสริฐ เพราะเป็นการตามระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ (รูป-นาม) ที่เกิดขึ้นตามฐาน ซึ่งมี ๔ ฐานด้วยกัน คือ กาย เวทนา จิต และธรรม

ผู้ใดที่มีการปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐาน ย่อมเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาปัญญา อันเป็นปัญญาที่เข้าถึงสภาวธรรมของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ในที่สุด

ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ สามารถทำลายวิปลาสธรรม ๔ ประการได้

วิปลาสธรรม ๔ ประการ คือ 

๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณากาย ซึ่งเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงรูปนั้นเป็นอสุภะ(ความไม่งาม,ความน่าเกลียด) เป็นการทำลาย สุภวิปลาส(สำคัญว่างาม,ว่าน่ารัก)

๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาเวทนา ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงเแล้ว นามธรรมเป็นทุกข์ เป็นการทำลาย สุขวิปลาส(สำคัญว่าเป็นสุข)

๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วจิตนามธรรมเป็นอนิจจัง เป็นการทำลาย นิจจวิปลาส (สำคัญว่าเที่ยง)

๔. ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาธรรม ซึ่งเป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว รูป และนามนั้น เป็นอนัตตา เป็นการทำลาย อัตตวิปลาส (สำคัญว่าเป็นตัวตน)

ดังนั้น เมื่อเข้าใจคำนี้แล้วก็ให้เริ่มตั้งใจฝึกสติปัฏฐาน 4 กันเถิด...เพื่อทำลาย "วิปลาสธรรม" ต่างๆ ให้หมดไป 

สาธุ สาธุ สาธุ 

Sunday 6 March 2016

นิทานคุณธรรมสอนใจ "คนฉลาดกับคนโง่ ไปร่อนทอง"

วันนี้เอา นิทานสอนใจ มาให้อ่านกันอีกเรื่องหนึ่ง มาจากหนังสือชื่อ "นิทานคุณธรรม" เขียนและเรียบเรียงโดย นิทัศน์ ธีระวิทย์ เป็นของสำนักพิมพ์ book smile  เรื่องราวมีดังนี้,,,

คนฉลาดกับคนโง่ไปร่อนทองด้วยกัน หลังจากที่ร่อนทองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งแต่ละคนก็นำเอาทองที่ร่อนได้ และถุงน้ำหนังซึ่งบรรจุน้ำไว้เต็ม ติดตัวกลับมาด้วย เพราะในการเดินทางกลับนั้นจะต้องผ่านทะเลทราย ซึ่งน้ำถือว่าเป็นสิ่งที่ค่ามาก ฉะนั้น พวกเขาจะดื่มทีละแค่อึกเดียว

คนฉลาดเห็นคนโง่ไม่ค่อยดื่มน้ำ จึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทอง จึงพูดว่า

“ข้ายอมให้เจ้าดื่มน้ำอึกหนึ่ง ขอเพียงแค่เจ้าให้ทองข้าหนึ่งตำลึงก็พอ”

คนโง่ไม่ว่าอะไรเลย และผงกหัวตกลง

ไม่นานต่อมา คนโง่ก็ถามคนฉลาดว่า “ให้ข้าดื่มน้ำอีกสักอึกได้ไหม”

คนฉลาดตอบอย่างร่าเริงว่า “ได้สิ แต่คราวนี้ต้องแลกกับทองสองตำลึงนะ”

คนโง่ก็ตอบกลับทันทีว่า “ได้อยู่แล้ว”

ทั้งคู่ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนฉลาดยอมดื่มน้ำน้อยลงอีกหน่อย แต่ก็แลกกับทองของคนโง่มาได้ทั้งหมด

คนฉลาดแบงทองหนักขึ้นทุกที แต่ก็นึกดีใจ เทียบกับไปร่อนทองแล้วก็คือว่าคุ้มค่ามาก และไม่ต้องเสียเวลามากด้วย ซ้ำยังไม่ต้องเหนื่อยแทบเป็นแทบตายในการร่อนทอง นับว่ารวยทางลัดได้จริงๆ แต่คนโง่กลับไม่รู้สึกอะไรเช่นนั้น รู้สึกแค่ว่า ตอนนี้ตัวเบามาก และมีความสุขจริงๆ

คนฉลาดนึกในใจว่า “มันโง่จริงๆ “

ทั้งสองเดินทางมาจนเกือบถึงขอบทะเลทรายแล้ว แต่คนฉลาดทนความทรมานจากความกระหายน้ำต่อไปอีกไม่ไหว เขาล้มลงไปกองกับพื้น คนโง่ให้เขาดื่มน้ำอีกอึกเล็กๆ เขาจึงฟื้นขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือ

คนฉลาดหมดเรี่ยวแรง เหลือแต่ลมหายใจ พูดกับคนโง่ว่า

“ข้ายอมให้ทองหนึ่งตำลึงแลกกับน้ำหนึ่งอึกของเจ้า”

คนโง่เขย่าถุงน้ำของตัวเองแล้วก็สั่นหัว

คนฉลาดด้วยความกระหายน้ำอย่างเต็มที่แล้ว ก็เลยยอมบอกว่า “ทองสองตำลึงแลกกับน้ำหนึ่งอึกนะ”

คนโง่ยังคงสั่นหัว

“งั้นข้าให้ทองเจ้าทั้งหมดแลกกับน้ำหนึ่งอึกของเจ้า ตกลงหรือไม่”

คนโง่ยังคงสั่นหัว พร้อมกับชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ”

คนฉลาดโงหัวขึ้นมาดู ไม่ไกลนักมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง คนฉลาดตะเกียกตะกายคลานไปได้ไม่กี่ก้าว แข็งใจพูดออกมาว่า

“ตอนนี้ข้าต้องการแค่น้ำเพื่อให้รอดชีวิตเท่านั้น”

คนโง่เกิดถุงน้ำยื่นให้คนฉลาดดู พลางสั่นหัวและพูดว่า

“ที่ข้าสั่นหัวปฏิเสธ ก็เพราะ ไม่มีน้ำเหลือแล้ว”

นิทานเรื่องนี้ทิ้งให้จบไว้เพียงแค่นี้ ผู้เขียนคงต้องการให้ท่านผู้อ่านคิดกันต่อเองว่า ตกลงแล้วใครที่โง่ ใครที่ฉลาดกันแน่ จริงๆ แล้วเรื่องของความโลภในทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราตาบอด และทำให้เรามองไม่เห็นสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เรามักจะคิดแค่เพียงว่า ถ้าเรารวย และมีเงินทองมากมาย ก็จะทำให้เราทำอะไรก็ได้

แต่หารู้ไม่ว่า สถานการณ์ที่แตกต่างกันไป บางครั้งมีเงินมากมายก็ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย ดังนั้นจะทำอะไรจงพิจารณาให้ถ้วนถี่ และจงอย่าให้ความโลภมาทำให้เราหลงผิด คิดผิด และสุดท้ายเราอาจจะตายเหมือนกับคนฉลาดในเรื่องซึ่งมีทองอยู่เต็มตัว แต่ไม่สามารถที่จะรักษาชีวิตไว้ได้

CR: โดย อจ. ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร: Think People Consulting

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เป็นไงค่ะ ดิฉันชอบเรื่องนี้มากๆ เลย