Thursday 9 June 2016

นิทานกรรม : สิบชั่วโคตร


สมัยราชวงศ์หมิง มีมหาบัณฑิตท่านหนึ่งชื่อ ฟังเสี่ยวหู ใครๆก็รู้ว่าฟังเสี่ยวหู นี้เป็นคนดี น่าจะได้รับผลดีตอบสนองในชีวิต แต่ว่ารางวัลที่ฟังเสี่ยวหูได้รับคือ การถูกสั่งประหารชีวิต และเป็นการประหารที่ไม่ธรรมดา แต่เป็นการประหารชีวิตถึง 10 ชั่วโคตร พาลูกเล็กเด็กแดง จนถึงปูย่าตายาย หัวหงอกหัวดำตายจนหมดโคตร

พูดถึงการฆ่าเจ็ดชั่วโคจตรที่เราเคยได้ยินนั้นคือการเอาตัวจำเลยเป็นหลัก แล้วนับไปข้างบน3 รุ่นไปรุ่นพ่อ รุ่นปู่ ปู่มีพี่น้องกี่คนฆ่าเรียบ และไปรุ่นทวดมีพี่น้องกี่คนฆ่าเรียบ จากนั้นนับไปรุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นเหลนมีกี่คนฆ่าเรียบ รวมทั้งตัวจำเลยรวมเป็น 7 ชั่วโคตร


แต่ฟังเสี่ยวหูโดนสั่งประหารถึง 10 ชั่วโคตร ยังไงกัน?


เรื่องมันเกิดเพราะว่าพ่อของ ฟังเสี่ยวหู แกได้สร้างกรรมมหันต์ไว้ตั้งแต่ฟังเสี่ยวหูยังไม่เกิด พ่อของฟังเสี่ยวหู เขาเป็นนักสร้างฮวงซุ้ยฝีมือเยี่ยมในสมัยนั้น มีชื่อเสียงมาก วันหนึ่งแกก็ไปกำหนดสร้างฮวงซุ้ยที่เชิงเขาที่สวยมาก และเป็นทำเลที่ดี พอตัดสินใจแล้วกำหนดวันเวลามงคลว่าพรุ่งนี้แหละจะทำการขุดดิน ในคืนนั้น พ่อของฟังเสี่ยวหูก็ฝันว่ามีชายชราใส่เสื้อคลุมสีแดง เดินตรงเข้ามาโค้งคาราวะให้อย่างนอบน้อม อย่างสวยงาม พร้อมทั้งกล่าวว่า ท่านผู้เจริญสถานที่ที่ท่านจะไปสร้างฮวงซุ้ยนั้น เราและลูกหลานอาศัยอยู่เป็นเวลานานมาแล้ว เราขอวิงวอนท่านให้เลื่อนการก่อสร้างออกไปสัก 3. วันเพื่อจะได้อพยพลูกหลานเราออกไปที่นั่นเสียก่อน เราจะไม่ลืมพระคุณเลย ชายชราคนนั้นวิงวอนแล้ววิงวอนเล่า กำชับแล้วกำชับอีก ว่าขอให้เลื่อน แล้วเขาก็ลาจากไปด้วยความนอบน้อม เช่นเดิม

พอพ่อฟังเสี่ยวหูตื่นขึ้นมาก็คิดว่าเป็นเพียงฝันอันเหลวไหล วันมงคลได้กำหนดขึ้นแล้ว จะเลืีอนไปไม่ได้เด็ดขาด พอรุ่งขึ้นวันกฤษ์ดีมาถึง คนงานก็ลงมือขุดเต็มที่ คนงานทำงานกันขะมักเขม้น สักพักก็มีคนงานร้องตพะโกนขึ้นมา พ่อของฟังเสี่ยวหูก็วิ่งไปดู พบว่าคนงานขุดพบเจอโพรงซึ่งเป็นรังของงู งูตัวสีแดงยั้วเยี้ยเต็มไปหมด สัก7-800 ตัว พ่อของฟังเสีายวหูจึงสั่งให้คนงานนั้นจุดไฟเผางูสีแดงนั้นทั้งหมด คืนนั้นพ่อของฟังเสี่ยวหูก็ใันเห็นชายชราเสื้อแดงคนนี้อีก แต่คราวนี้มาด้วยสีหน้าโกรธแค้น ปวดร้าวจนน้ำตานองหน้า กล่าวว่า เราอุตส่าห์มาขอร้องท่านให้เลื่อนการขุดดิน เพื่อที่เราจะได้ย้ายลูกหลานเราออกจาก พท. แต่ท่านกลับเผาลูกหลานของเราหมด 800 ชีวิต ในเมื่อเจ้าใจบาปหยาบช้า กล้าล้างโคจตรเราแบบนี้เราก็จะขอล้างโคตรเจ้าเช่นกัน พ่อของฟังเสี่ยวหูตกใจตื่น เหงื่อแตกซิกเลย แต่ยังไงผลกรรมนี้ก็ทำไปแล้ว ได้แต่รอรับผลกรรมเท่านั้นเอง

ต่อมาแกก็มีลูกชายคือ ฟังเสี่ยวหู คนนี้ ลูกของแกเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียนเก่ง นิสัยดี กตัญญูต่อพ่อแม่ดีนัก แต่ที่แปลกคือ เด็กคนนี้เกิดมามีลิ้นแหลมเหมือนงู เด็กคนนี้เก่ง ทำงานจนกระทั่งเติบโตเป็นมหาบัณฑิต วันหนึ่งพระเจ้าหมิงไท่จู สวรรคต หมิงอุ้ยตี้ น้องชายของหมิงไท่จูก็แสดงเจตจำนงค์ว่า อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน ว่าการแทนท่ามกลางความคลางแคลงใจของประชาชน หมิงอุ้ยตี้จึงให้ฟังเสี่ยวหูเขียนป้ายประกาศบอกชาวเมืองว่า หมิงอุ้ยตี้ จะขึ้นรักษาการณ์แทนฮ่องเต้ แต่ฟังเสี่ยวหู กลับประกาศความจริงว่า หมิงอุ้ยตี้ยึดอำนาจประกาศตัวเป็นฮ่องเต้ เท่านั้นแหละค่ะ เป็นเรืีอง ฟังเสี่ยวหูโดนจับ พอจับไปแล้วหมิงอุ้ยตี้ก็ถามว่านี่มึงไม่ได้มีความเกรงกลัวกูเลยเรอะ.. นี่มึงอยากโดนประหาร 9 ชั่วโคตรหรือกะไร ฟังเสี่ยวหูได้ยินก็ตอบว่า อย่าว่าแต่ 9 ชั่วโคตร กูต่อให้ 10 ชั่วโคตรกูก็ไม่กลัวมึง หมิงอุ้ยตี้เลยบอกว่า อ้าวถ้างั้นก็ให้มึงตาย 10 ชั่วโคตร อำมาตย์เลยเตือนว่า เค้ามีแค่ 9 ชั่วโคตรเองนะพระองค์ ฝั่งแม่ 4 โคตร ฝั่งฝ่ายพ่อ 4 โคตร และเจ้าตัวอีกฝ่าย ก็มีเหลือ แต่ 9. โคตรเท่านั้นแหละ

แต่หมิงอุ้ยตี้ เป็นคนฉลาด จึงบอกว่า ครูอาจารย์มันก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ เอาอาจารย์มันมาอีกเป็นโคตรที่ 10. รวมลูกเมียครูอาจารย์มันเอามาด้วยทั้งครอบครัว


อ้าว...พาอาจารย์ซวยไปด้วยเลย กรรมเริ่มทำงานแล้วค่ะ ทำไมฟังเสี่ยวหู คนเดียวจึงเกิดมาทำให้เกิดการประหัตประหารญาติโกโหติกากันขนาดนี้ นั่นเพราะว่า ฟังเสี่ยวหูถือกำเนิดมาจากดวงวิญญาณอันคุมแค้นของชายชราเสื้อแดงคนนั้น ซึ่งเป็นจ้าวตระกูลงู 800 ตัวในโพรงนั้น หนึ่งชีวิต ต่อหนึ่งชีวิต ไม่มีการลดหย่อน 9 ชั่วโคตรก็ยังไม่เท่าจำนวนงูที่ตาย ครอบครัวอาจารย์ที่ไม่รู้อโหน่อิเหน่ด้วย ก็ต้องพลอยมาตายกับบา่ปกรรมของ พ่อฟังเสี่ยวหู จนครบ 800 พอดิบพอดี จำนวนคนพอดีกับจำนวนชีวิตงูสีแดงเหล่านั้น เป๊ะ นั่นคือต้อง 10 ชั่วโคตรค่ะ

เรื่องเล่าบาปกรรมของคนจีนค่ะ !!!

ขอบคุณภาพจาก Google.com

Wednesday 8 June 2016

ความริษยา คือ การแสดงออกถึงความต่ำต้อยทางจิตวิญญาณของมนุษย์




มนุษย์ผู้มีจิตใจสูง เมื่อได้เห็นคนอื่นประสบความก้าวหน้า มีความสุขสวัสดีในชีวิต ย่อมพลอยอนุโมทนาสาธุการมีใจร่าเริงเบิกบานไปกับเขา หรือยามที่ตนเองประสบความสำเร็จ มีความสุข ความเจริญ ก็ไม่หวงแหนความสำเร็จ ไม่ตระหนี่ความสุข ไม่จำกัดความเจริญนั้นไว้สำหรับตนฝ่ายเดียว แต่ยินดีเสมอที่จะแบ่งปันความสำเร็จและความสุขความเจริญนั้นแก่คนอื่นต่อไปอย่างไร้พรมแดน

คนใจสูงนั้น ปราถนาแต่จะเห็นคนเก่งเพิ่มขึ้น เพราะเขาถือว่า เมื่อมี คนที่มีความสุขความเจริญมากมาย โลกก็จะกลายเป็นสรวงสวรรค์อันรื่นรมย์

ส่วนคนที่มีใจแคบ มีจิตวิญญาณต่ำต้อยนั้น ยามที่ตัวเองประสบความสำเร็จ มีความสุข ความเจริญ ก็คิดแต่จะหวงแหนสิ่งดีๆไว้เฉพาะตนคนเดียวเท่านั้น เห็นใครได้ดีมีสุขทัดเทียมตน หรือ เหนือกว่าตน ก็จะมีความทุกข์ขึ้นมาทันที

ความริษยายังคงมีอยู่ในบุคคลใด แสดงว่าจิตใจของบุคคลนั้น ยังด้อยพัฒนา ยังจะต้องศีกษากันต่อไป ต่อเมื่อยกใจพ้นริษยาได้เมื่อไร จึงจะได้ชื่อว่า

เป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงเมื่อนั้น

ที่มา : ว.วชิรเมธี & วิกรม กรมดิษฐ์ /หนังสือดีเพื่อคนไทย / 7-11

Saturday 4 June 2016

เทวดามีจริง!! ภาพถ่ายเทวดา ที่ยอดพระปรางค์

ดิฉันคุยเฟสทามกับน้องชาย คุยเรื่องในครอบครัวค่ะ เรามีกัน 2 พี่น้องเท่านั้น จึงคุยกันเป็นระยะห่างๆชิดๆ ตามอัตราความสุขและความทุกข์ในแต่ละวัน

ทุกวันนี้ต้องขอบคุณ line Program นะคะ เรามีกลุ่ม "ครอบครัว" ที่มีประโยชน์มาก เช่นตามหากัน ถามเรื่องต่างๆ ในครอบครัว ครั้งเดียว รู้ทั้งครอบครัว มันไกล้ชิดกันเสียจริงๆ และเด็กทุกวันนี้ก็อยู่ในสายตาทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่ตอนนี้ หลาน เหลน พี่ป้าน้าอา เอ่ยมาสักเรื่อง ร้องอ๋อ ทั้งโคตร ไม่ใช่ทั้งครอบครัว คือ รับรู้ได้เท่าๆ กันหมด ตย. เช่นหลานๆ ลูกๆ ทำเรื่องอะไรไม่เข้าหูเข้าตา ด่าไปหนึ่งคน ได้รู้ทั้งครอบครัว เพราะเรามีลูกหลานวัยรุ่น บางคนไปทำเรื่องน่าเกลียดไว้ตามเฟสบุ๊ค (Facebook) ก็มีพี่ป้าน้าอาไปอ่านเจอ ก็จะพากันติติง หลานสาวนี่เรียบร้อยมาก ไม่กล้าลงอะไรตามเฟสเลยค่ะ น่าจะสยองหลอนๆ พี่ป้าน้าอา ... จึงได้เห็นแค่ ไลน์ และไม่เคยโต้ตอบนอกจากบอกว่า อะไร ที่ไหน อย่างไร ...นอกนั้นเงียบ แต่อ่าน!! มีครอบครัวไหนเหมือนครอบครัวเรามั่งคะ ??
วันนี้คุยเรื่อยเปื่อยถึงความฝัน ... ว่าดิฉันฝันแปลก และดิฉันเห็นอะไรแปลกๆ น้องเลยสรุปว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง บางเรื่องอธิบายไม่ได้ก็มี พร้อมกับส่งรูปมาให้ดูรูปนึง บอกว่า ถ่ายไว้ได้ตอนปีใหม่ ตอนไปใหว้พระรอบๆ เมือง ... ได้ภาพมา กลัวคนหาว่าไปทำมาเอง และหลายคนอาจมองไม่เห็นเหมือนๆ กัน เพราะเคยให้เพื่อนดู บางคนบอกว่า เห็นแวบเดียวแล้วหายไป แต่ดิฉันเห็นค่ะ แต่ต้องไปเปิดดูกับ Tablet จึงเห็น ครั้งแรกก็ดูแล้วเฉยๆ เพราะมองไม่เห็น ...พอขยายดู ก็เห็น

คุณลองดูสิคะ ว่า เห็นอะไรมั้ย ???? 

เข้าใจว่าเป็น เงาเทวดาค่ะ ลองหาดู ถ้ายังไม่เห็น ตามภาพนี้เลยค่ะ
ภาพนี้ดิฉันวงกลมและเขียนเองค่ะ เอาไปแพร่ผ่าน FB ของตัวเอง แต่กะว่าจะเอาออกแล้วค่ะ เกรงจะโดนคอมเม้นท์ว่างมงาย แต่สำหรับดิฉันไม่งมงายหละค่ะ เป็นความเชื่อหนักๆ เลย
ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทวดาอีกนะคะ เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2559 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เพื่อนๆดิฉันได้ไปทอนพระที่วัดคงคาเลียบ จว. นครศรีฯ ดิฉันนั้นเห็นว่า วัดกำลังหาเงินสร้างโบถส์ แทนโบถส์เก่าที่เป็นไม้ ถูกรื้อออกไป ผุพังเก่ามาก ไม่สามารถใช้งานได้จริงๆ อุโบสกใหม่นั้นได้ขึ้นฐานรากไว้แล้วนานมากจนไม้เลื้อยเกาะ แต่ก็ไม่เสร็จสักที หมดเงิน ทอดกฐิน หรือ ผ้าป่า ได้มาก็ไม่เยอะ เม็ดเงินไม่เคยถึงเรือนล้าน โบถส์ใหม่จึงต้องรอไปก่อน และด้วยความพยายามของท่านเจ้าอาวาส ท่านเล่าดิฉันว่าได้เชิญเทวดามาช่วยสร้าง เป็นบุญ ลำพังท่านนั้นป่วยบ่อย คนเดียวไม่ไหวหละโยม จึงมีญาติธรรมมาช่วยกันมากมาย ตามความศรัทธา เมื่อเพื่อนๆ มา ดิฉันก็บอกให้เพื่อนๆ ทอนวัตถุมงคลไป ไปกัน 5 คนที่ทอน 3 คน ดิฉันจึงกล่าวขออนุโมทนาบุญวิหารทานนี้ด้วย เลยกลาวอุทิศบุญของพวกเขาให้แก่เทวดาของพวกเขา และเทวดาทุกท่าน (พร้อมนึกในใจว่า ท่านรับแล้ว มาบอกด้วย นับในใจ 123) โดยกล่าวดังๆ ว่า เอ้าๆ ขอบคุณเพื่อนมาก อนุโมทนาบุญด้วย บุญจากวิหารทานครั้งนี้อุทิศแก่เทวดาของทุกท่าน และเทวดาทั่วไปด้วยเถิด สาธุ อ่า..เดี๋ยวมีลมมา เพื่อนทุกคนก็ กล่าว สาธุ พร้อมๆกัน (คือ มันอาจเกรงใจเราเลย สาธุพร้อมกันอัตโนมัติ) ...พร้อมกันนั้นก็เริ่มมีลมมาจากแผ่วแล้วแรงขึ้น วูๆๆ จนผมปลิวว่อนเลย ทุกคนตกใจ อุทานพร้อมกัน โอยย ขนลุก !!
นี่หละค่ะ ดิฉันจึงเชื่อหนักมาก และมาได้เห็นกับตาแบบนี้ .... อึ้ง!!!  

Thursday 31 March 2016

มีเงิน 10 บาทจะทำทานอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

#‎ทาน หรือ การทำทาน ถือเป็นการทำบุญในระดับต่ำสุดแล้วในทางพุทธศาสนา ในทานเองนี่ก็เหมือนกันค่ะ มีหลายระดับอีก

การทำบุญอันเป็นวัตถุทานนี้มีหลากระดับ 4 ระดับ ในระดับที่ 5  ไม่ต้องการวัตถุใดๆ แล้วค่ะ

วันนี้มี ถ้ามีเงิน 10 บาท ทำไงจะทำบุญให้ได้บุญมากที่สุด ที่มีลำดับบุญตามนี้

1. สังฆทาน ไม่ว่าจะถวายอะไรที่ถูกต้อง ควรถวายแก่พระทั้งวัด (ไม่เป็นส่วนบุคคลต่อตัวนะคะ) อาจซื้อไม้ขีดไฟสักกล่องถวายพระทั้งวัดก็ได้แล้ว
2. วิหารทาน ไปสร้างโบถส์ ร่วมสร้างวิหาร เอาเงินสิบบาทนั้นไปสร้างวิหาร เราก็ได้บุญสูงขึ้น
3. ปลอยสัตว์ ปล่อยชีวิตสัตว์จะถูกฆ่า นี่ยิ่งกว่าสร้างวิหารอีกค่ะ
4. ธรรมทาน หนังสือธรรมมะต่างๆ ทานอันยอดเยี่ยมคือ อันนี้

ตัวอย่างที่ดี ๆ สำหรับการทำธรรมะทานคือ งานศพ แจกหนังสือธรรมะ ก่อนแจก ควรขยันหยิบทีละเล่ม แล้วนำมาอธิษฐาน
"ข้าพเจ้าขอทำบุญหนังสือธรรมทานนี้ และขออุทิศบุญจากธรรมะทานนี้ ให้แก่ผู้ตายด้วยเถิด สาธุๆๆ"
ทำทีละเล่มเลยค่ะ อุทิศทีละเล่ม นั่งทำสักคืนนึงก่อนเผา ก่อนแจกแขก ... อันนี้ผู้ตายได้บุญเต็มๆ เลยค่ะ

ที่สูงกว่า 4 ลำดับนี้มีมั้ย มีค่ะ!!

คือไม่เป็นวัตถุทานแล้วหละ ทานสูงสุดคือ อภัยทาน อันนี้ไม่ใช้เงิน เป็นทานจากใจ จิตอันบริสุทธิ์ เป็นทานสูงสุด

จะเป็นคนมีโชคมีลาภนี่ ต้องมีวัตถุทาน สูงๆ ค่ะ

โดยส่วนตัวข้าพเจ้านี้ บุญเก่าๆของข้าพเจ้าน่าจะไม่มาทางสายวัตถุทานนี้หละคะ
มาทางภาวนาแน่เลย ...เรียน เขียน เอาค่ะ คือ มีเรียน เขียน อ่าน แต่ไม่รวยสักที ...





เรื่องจริง คนมีบาป !!

เรื่องนี้ ได้รับการรับรองจากพระพม่าและชาวพม่าว่า เป็นเรื่องจริง เคยถูกนำไปลงเป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งชาวพม่าจะเรียกกันว่า นางหมา

ผู้หญิงคนนี้มีปกติไม่เข้าวัดทำบุญ และด่าพ่อแม่เป็นประจำ ได้ทำกรรมหนักดังกล่าวตอนอายุ 20 ปี และกรรมก็ได้ตามทันหลังจากนั้นไม่นาน ใช้เวลาถึงห้าปีร่างกายจึงได้เปลี่ยนไปเป็นลักษณะแบบนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปภายในคืนเดียว ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนสุนัขเลย คือ เดินสี่ขาและเห่าเหมือนสุนัข เมื่อผู้คนพบเห็นก็ได้ถ่ายรูปและนำไปออกข่าว ทำให้เธอรู้สึกอายมากจึงได้ย้ายจากเมืองย่างกุ้งไปอยู่แถวชายแดนของพม่า ต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตลอดเวลา

ในภาพชื่อ น.ส. จ้อ คำนาง บิดาชื่อ นายคำหน่อ มารดาชื่อ นางมินตาล น.ส. จ้อ ได้ถูก พ่อ - แม่ ตามใจมาตลอด จนทำให้เสียนิสัย มีอยู่วันหนึ่ง น.ส. จ้อ ได้เข้าไปขอเงินแม่ในห้องพระ แม่ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวแม่ไหว้พระเสร็จก่อนแล้วแม่จะเอาเงินให้ น.ส. จ้อ จึงโกธรที่ไม่ได้ดังใจจึงเดินไปข้างหลังแม่ แล้วใช้เท้าถีบแม่ในขณะที่แม่ไหว้พระอยู่ จนแม่หน้าฟาดกับพื้น ฟันหักไปสองซี่ เลือดไหลออกจากปาก แม่ก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด และได้สาปแช่ง น.ส. จ้อ ต่างๆนาๆ จนพอวันรุ่งขึ้น น.ส. จ้อ ก็มีสภาพเปลี่ยนไปกลายร่างจากคน และมีรูปร่างคล้ายสุนัข ดังในรูปภาพ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ หมู่บ้าน สินคาน อำเภอ มิจินา ประเทศ พม่า 2549 นี้...


นางหมา 


Wednesday 16 March 2016

สติปัฏฐาน ๔ คืออะไร

สติ แปลว่า การตามระลึกรู้อารมณ์

ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง (ของการเพ่ง)

สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ฐาน หรือที่ตั้งอันเป็นที่รองรับของการกำหนดสติอย่างประเสริฐ เพราะเป็นการตามระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ (รูป-นาม) ที่เกิดขึ้นตามฐาน ซึ่งมี ๔ ฐานด้วยกัน คือ กาย เวทนา จิต และธรรม

ผู้ใดที่มีการปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐาน ย่อมเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาปัญญา อันเป็นปัญญาที่เข้าถึงสภาวธรรมของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ในที่สุด

ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ สามารถทำลายวิปลาสธรรม ๔ ประการได้

วิปลาสธรรม ๔ ประการ คือ 

๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณากาย ซึ่งเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงรูปนั้นเป็นอสุภะ(ความไม่งาม,ความน่าเกลียด) เป็นการทำลาย สุภวิปลาส(สำคัญว่างาม,ว่าน่ารัก)

๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาเวทนา ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงเแล้ว นามธรรมเป็นทุกข์ เป็นการทำลาย สุขวิปลาส(สำคัญว่าเป็นสุข)

๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วจิตนามธรรมเป็นอนิจจัง เป็นการทำลาย นิจจวิปลาส (สำคัญว่าเที่ยง)

๔. ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาธรรม ซึ่งเป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว รูป และนามนั้น เป็นอนัตตา เป็นการทำลาย อัตตวิปลาส (สำคัญว่าเป็นตัวตน)

ดังนั้น เมื่อเข้าใจคำนี้แล้วก็ให้เริ่มตั้งใจฝึกสติปัฏฐาน 4 กันเถิด...เพื่อทำลาย "วิปลาสธรรม" ต่างๆ ให้หมดไป 

สาธุ สาธุ สาธุ 

Sunday 6 March 2016

นิทานคุณธรรมสอนใจ "คนฉลาดกับคนโง่ ไปร่อนทอง"

วันนี้เอา นิทานสอนใจ มาให้อ่านกันอีกเรื่องหนึ่ง มาจากหนังสือชื่อ "นิทานคุณธรรม" เขียนและเรียบเรียงโดย นิทัศน์ ธีระวิทย์ เป็นของสำนักพิมพ์ book smile  เรื่องราวมีดังนี้,,,

คนฉลาดกับคนโง่ไปร่อนทองด้วยกัน หลังจากที่ร่อนทองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งแต่ละคนก็นำเอาทองที่ร่อนได้ และถุงน้ำหนังซึ่งบรรจุน้ำไว้เต็ม ติดตัวกลับมาด้วย เพราะในการเดินทางกลับนั้นจะต้องผ่านทะเลทราย ซึ่งน้ำถือว่าเป็นสิ่งที่ค่ามาก ฉะนั้น พวกเขาจะดื่มทีละแค่อึกเดียว

คนฉลาดเห็นคนโง่ไม่ค่อยดื่มน้ำ จึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทอง จึงพูดว่า

“ข้ายอมให้เจ้าดื่มน้ำอึกหนึ่ง ขอเพียงแค่เจ้าให้ทองข้าหนึ่งตำลึงก็พอ”

คนโง่ไม่ว่าอะไรเลย และผงกหัวตกลง

ไม่นานต่อมา คนโง่ก็ถามคนฉลาดว่า “ให้ข้าดื่มน้ำอีกสักอึกได้ไหม”

คนฉลาดตอบอย่างร่าเริงว่า “ได้สิ แต่คราวนี้ต้องแลกกับทองสองตำลึงนะ”

คนโง่ก็ตอบกลับทันทีว่า “ได้อยู่แล้ว”

ทั้งคู่ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนฉลาดยอมดื่มน้ำน้อยลงอีกหน่อย แต่ก็แลกกับทองของคนโง่มาได้ทั้งหมด

คนฉลาดแบงทองหนักขึ้นทุกที แต่ก็นึกดีใจ เทียบกับไปร่อนทองแล้วก็คือว่าคุ้มค่ามาก และไม่ต้องเสียเวลามากด้วย ซ้ำยังไม่ต้องเหนื่อยแทบเป็นแทบตายในการร่อนทอง นับว่ารวยทางลัดได้จริงๆ แต่คนโง่กลับไม่รู้สึกอะไรเช่นนั้น รู้สึกแค่ว่า ตอนนี้ตัวเบามาก และมีความสุขจริงๆ

คนฉลาดนึกในใจว่า “มันโง่จริงๆ “

ทั้งสองเดินทางมาจนเกือบถึงขอบทะเลทรายแล้ว แต่คนฉลาดทนความทรมานจากความกระหายน้ำต่อไปอีกไม่ไหว เขาล้มลงไปกองกับพื้น คนโง่ให้เขาดื่มน้ำอีกอึกเล็กๆ เขาจึงฟื้นขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือ

คนฉลาดหมดเรี่ยวแรง เหลือแต่ลมหายใจ พูดกับคนโง่ว่า

“ข้ายอมให้ทองหนึ่งตำลึงแลกกับน้ำหนึ่งอึกของเจ้า”

คนโง่เขย่าถุงน้ำของตัวเองแล้วก็สั่นหัว

คนฉลาดด้วยความกระหายน้ำอย่างเต็มที่แล้ว ก็เลยยอมบอกว่า “ทองสองตำลึงแลกกับน้ำหนึ่งอึกนะ”

คนโง่ยังคงสั่นหัว

“งั้นข้าให้ทองเจ้าทั้งหมดแลกกับน้ำหนึ่งอึกของเจ้า ตกลงหรือไม่”

คนโง่ยังคงสั่นหัว พร้อมกับชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ”

คนฉลาดโงหัวขึ้นมาดู ไม่ไกลนักมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง คนฉลาดตะเกียกตะกายคลานไปได้ไม่กี่ก้าว แข็งใจพูดออกมาว่า

“ตอนนี้ข้าต้องการแค่น้ำเพื่อให้รอดชีวิตเท่านั้น”

คนโง่เกิดถุงน้ำยื่นให้คนฉลาดดู พลางสั่นหัวและพูดว่า

“ที่ข้าสั่นหัวปฏิเสธ ก็เพราะ ไม่มีน้ำเหลือแล้ว”

นิทานเรื่องนี้ทิ้งให้จบไว้เพียงแค่นี้ ผู้เขียนคงต้องการให้ท่านผู้อ่านคิดกันต่อเองว่า ตกลงแล้วใครที่โง่ ใครที่ฉลาดกันแน่ จริงๆ แล้วเรื่องของความโลภในทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราตาบอด และทำให้เรามองไม่เห็นสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เรามักจะคิดแค่เพียงว่า ถ้าเรารวย และมีเงินทองมากมาย ก็จะทำให้เราทำอะไรก็ได้

แต่หารู้ไม่ว่า สถานการณ์ที่แตกต่างกันไป บางครั้งมีเงินมากมายก็ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย ดังนั้นจะทำอะไรจงพิจารณาให้ถ้วนถี่ และจงอย่าให้ความโลภมาทำให้เราหลงผิด คิดผิด และสุดท้ายเราอาจจะตายเหมือนกับคนฉลาดในเรื่องซึ่งมีทองอยู่เต็มตัว แต่ไม่สามารถที่จะรักษาชีวิตไว้ได้

CR: โดย อจ. ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร: Think People Consulting

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เป็นไงค่ะ ดิฉันชอบเรื่องนี้มากๆ เลย